กรมอุทยานฯจับมือกัมพูชา นำ จนท.กัมพูชา 30 นาย ฝึกอบรมหลักสูตรการดับไฟป่า เพื่อลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันลอยข้ามแดน ลด PM2.5 ภายใต้ ‘ยุทธศาสตร์ฟ้าใส’
วันนี้ 21 ม.ค.68 ที่ศูนย์ฝึกอบรมเขื่อนท่าทุ่งนา ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการดับไฟป่า ให้กับเจ้าหน้าที่จากราชอาณาจักรกัมพูชา จำนวน 30 นาย การฝึกอบรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-27 มกราคม 2568
โดยมี พลจัตวาฮอม คิม ผู้ช่วยทหารกัมพูชา ประจำกรุงเทพฯ พลจัตวาโม เชือม รองเสนาธิการภาคทหาร ที่ 4 พล.ต.ธีรพันธุ์ ไตรพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน กรมกิจการชายแดนทหาร พ.อ.พิเชษฐ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้อำนวยการสำนักกิจการเพื่อความมั่นคง นางสุนีย์ ศักดิ์เสือ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
นายนครินทร์ สุทัตโต ผู้อำนวยการส่วนควบคุมไฟป่า นายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่นุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)นายประวัฒน์ พวงทอง ผู้อำนวยการส่วนควบคุมและปฎิบัติการไฟป่า นายไพโรจน์ เขียวแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ไฟป่ากาญจนบุรี นายสุรชิต บัวทอง ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดกาญจนบุรี นายไพทูรย์ สมบูรณ์ชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ (2)นายสมบูรณ์ แผนสมบูรณ์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี นางสาวปภัสร์สภัส แดงกูล นายก อบต.ช่องสะเดา เข้าร่วมพิธีเปิด มีนายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า กล่าวรายงาน
วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่เป็นชาวกัมพูชาทั้ง 30 คน ได้มีความรู้ด้านทฤษฎีการควบคุมไฟป่า ควบคู่ไปกับการฝึกทักษะการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่าตามหลักวิชาการ ให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์การปฏิบัติงานด้านการดับไฟป่า กลับไปใช้งานที่ประเทศกัมพูชา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันหมอกควันข้ามแดน
นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า การฝึกอบรมครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573) ซึ่งริเริ่มโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างไทย ลาว และเมียนมา โดยมีการเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมฯ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่จากราชอาณาจักรกัมพูชา จำนวน 30 นาย ระหว่างวันที่ 21-27 มกราคม 2568 ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคกลาง และเขื่อนท่าทุ่งนา ดำเนินการผ่านการประสานงานของกรมกิจการชายแดนทหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและทักษะการปฏิบัติในการควบคุมไฟป่าตามหลักวิชาการ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถ นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนา ขยายผล และประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานดับไฟป่าในประเทศของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สืบเนื่องจากสถานการณ์ไฟป่าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในทุกๆปี ก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5 รวมถึงปัญหาหมอกควันข้ามแดนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างความร่วมมือและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการควบคุมไฟป่าระหว่างประเทศจึงเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ฟ้าใสในการสร้างภูมิภาคปลอดหมอกควัน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ดำเนินกิจกรรมสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส ประกอบด้วย 1. การประชุมความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน ระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม 2567 ณ โรงแรมเซ็นทาราริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากกัมพูชาและเมียนมาร่วมสังเกตการณ์ 2. การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการระหว่างไทย-ลาว ภายใต้โครงการ Trilateral Transboundary Air Quality Management เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 และ 3. การจัดฝึกอบรมหลักสูตรการดับไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่ลาว จำนวน 27 คน ระหว่างวันที่ 16-27 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่
- 026
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี