“เอกราช"นักเชี่ยวชาญวิเคราะห์ระบบ GPS เข้าให้ข้อมูล“DSI" หลังพัฒนาซอฟท์แวร์วิเคราะห์ GPS สปีดโบ๊ตแตงโมกว่า 3 ปี มั่นใจพิรุธจุดเดินเรือชวนพิศวง 8 จุด ไขคดีได้ แย้งปมเรือออกวิ่งหลังเวลาตี 1 ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยความเร็วเรือ 38 นอต ก่อนจะเอาเรือเข้าเก็บ ยืดอกรับหากบทสรุปว่าเป็นการประมาท ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมกัน ก็พร้อมยอมรับ แต่ขอให้ดีเอสไอได้ทำเต็มที่
วันที่ 22 ม.ค. ที่ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสาร สนเทศ ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ชั้น 8 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งเเวดล้อม นัดหมายนายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และวิเคราะห์ระบบจีพีเอส(GPS) เข้าให้ข้อมูลเรื่องจุดแผนที่ของเรือสปีดโบ๊ตคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงสาวชื่อดัง
โดย พ.ต.ต.ณฐพล เปิดเผยว่า การเชิญนายเอกราช นามโภคิน เข้าให้ข้อมูลในวันนี้ เนื่องจากมีกลุ่มผู้ร้องได้ส่งนายเอกราช มาให้คณะทำงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และบันทึกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งนายเอกราช ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง GPS ระบบตำแหน่งเรือ โดยข้อมูลที่คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะได้รับจากนายเอกราชนั้น เป็นข้อมูลที่ได้มีกลุ่มผู้ร้องไปร้องขอจากศาล ซึ่งเป็นข้อมูล GPS ที่อยู่ติดกับเรือลำเกิดเหตุ โดยคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะได้ดูว่าเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้บันทึกถ้อยคำประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงสำหรับใช้รายงานตามลำดับชั้นต่อไป
พ.ต.ต.ณฐพล เผยอีกว่า สำหรับข้อมูล GPS บนเรือระหว่างของดีเอสไอและนายเอกราชนั้น ถือเป็นการนำข้อมูลของนายเอกราชมาใช้ตรวจสอบร่วมกับระบบแผนที่ของดีเอสไอ หรือเรียกว่า DSI Crime Mapping เพื่อทดสอบและตรวจสอบว่าเส้นทางการเดินเรือลำเกิดเหตุแท้จริงเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้งจะได้นำไปตรวจสอบคู่ขนานกับข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชน และภาพถ่ายต่าง ๆ เพื่อดูว่ามีความสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกันอย่างไรหรือไม่ จะได้ดำเนินการสรุปข้อเท็จจริงต่าง ๆ เข้าสู่สำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
พ.ต.ต.ณฐพล เผยต่อว่า รายละเอียดภายในระบบของ DSI Crime Mapping สามารถนำข้อมูล GPS ของเรือลำเกิดเหตุมาใช้ดูได้ทั้งหมด ทั้งความเร็วการเดินเรือแต่ละช่วง โดยที่เราจะกำหนดจุดแต่ละเส้นว่าเป็นอย่างไร รวมถึงความลึกของเรือด้วย ซึ่งรายละเอียดลักษณะนี้ถือเป็นข้อมูลเชิงเทคนิค ดังนั้น วันนี้เรามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอฝ่ายเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องระบบ GPS เชี่ยวชาญด้านโทรศัพท์มือถือ และระบบแผนที่ จะได้ประชุมร่วมกันเพื่อสอบถามข้อมูลจากนายเอกราชด้วย ว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นอย่างไรบ้าง และถูกต้องหรือไม่ เพื่อจะได้รวบรวมประกอบการพิจารณาต่อไป
สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ ทางคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะมีการประชุมกันว่าในการตรวจสอบนั้นจะต้องเชิญบุคคลใดอีกบ้าง เพราะในส่วนของผู้ร้องจะมีการเชิญคนให้ข้อมูลมาพบดีเอสไอเพิ่มเติม และอาจนำเอาข้อมูลที่ได้จากการจำลองสถานการณ์การตกเรือเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา มาให้ดีเอสไอ ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการประสานงานกันว่าจะต้องให้บุ7คคลใดเข้ามาให้ข้อมูลแก่ดีเอสไออีกหรือไม่ ทั้งนี้ เราจะเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด เพื่อชี้แจงความคืบหน้าการทำงานต่อสื่อ มวลชนและสาธารณชนต่อไป
ส่วนประเด็นเรื่องข้อเรียกร้องที่อยากให้ดีเอสไอมีการออกเลขสืบสวนคดีพิเศษนั้น พ.ต.ต.ณฐพล เผยว่า ตอนนี้กระบวนการอยู่ที่กองบริหารคดีพิเศษ ซึ่งได้รับเรื่องไว้เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ตอนนี้ทราบว่ากองบริหารคดีพิเศษ อยู่ระหว่างประมวลเรื่องเพื่อเสนอต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาต่อไป และจากนั้นจะเป็นอำนาจการพิจารณาของอธิบดีฯว่าจะให้คณะทำงานดำเนินการอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องการสืบสวน เราสามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดำเนินการได้ตามการสืบสวนสอบสวนทั่วไปอยู่แล้ว พร้อมยืนยันว่า การเข้าให้ข้อมูลจากภาคประชาชน สามารถทำให้คณะทำงานนำไปต่อยอดได้เยอะ แต่เราต้องทำโดยไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาล และต้องไม่ขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดี
ขณะที่ นายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และวิเคราะห์ระบบ GPS กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งที่สองที่ตนเข้าพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพราะในครั้งแรกยังคงมีรายละเอียดจำนวนมาก อาทิ เรื่องข้อพิรุธจาก GPS ที่ได้วิเคราะห์และรวบรวมนั้น ตนได้ใช้เวลาเกือบ 3 ปี ดังนั้น วันนี้ทางดีเอสไอจะได้เอาข้อมูลทั้งหมดของตนที่วิเคราะห์แล้วกลับไปใช้กับโปรแกรมซอฟท์แวร์ของดีเอสไอเองเพื่อไปวิเคราะห์ต่อได้ ซึ่งตนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เห็นข้อพิรุธของ GPS 20-30 จุดดังกล่าว แต่ดีเอสไอเองก็พบเหมือนกัน วันนี้จึงต้องมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากสิ่งที่ยังไม่ได้คุยในครั้งแรก โดยในวันนี้จะได้คุยทั้งหมดกับดีเอสไอ ทั้งจุดข้อพิรุธ จุดที่น่าสงสัย เพราะถ้าดีเอสไอมีการออกเลขคดีพิเศษเมื่อใดก็จะสามารถนำสืบต่อจากสิ่งที่เราวิเคราะห์ไว้ได้ว่าเป็นข้อพิรุธ ดังนั้น วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้ส่งมอบข้อมูลแก่ดีเอสไอ
นายเอกราช กล่าวต่อว่า สำหรับจุดพิรุธของ GPS ที่เราโฟกัสจริง ๆ มีประมาน 8 จุด แต่ส่วนที่เหลือจะได้เอามาประกอบส่วนที่เราสงสัยให้มีน้ำหนัก เช่น จุดวัดค้างคาว จริง ๆ แล้วจุดนี้มีคำถามว่าใครเป็นคนขับเรือ และขับมาทำไม มันก็จะมีข้อพิรุธของ GPS ก่อนที่จะเอาเรือไปเก็บเพื่อให้น้ำหนักในจุดวัดค้างคาวว่าจริง ๆ แล้วมีความเชื่อมโยงกัน ดังนั้น ดีเอสไอสามารถนำสืบในส่วนนี้ต่อไปได้
นอกจากนี้ ในส่วนของข้อมูลที่วิเคราะห์ระบบ GPS ของเรือที่มีทั้งความเร็วแต่ละจุดแต่ละช่วงว่าเรือใช้ความเร็วกี่นอต ถึงมีส่วนสำคัญในการไขคดีได้นั้น ตนขออธิบายว่า เรื่องความเร็วเรือเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ไขคดีได้คือข้อพิรุธจากการที่บุคคลได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะการจับผิดไม่ยากเลยถ้าเรามี GPS ของจริง ดังนั้น เวลามีการให้สัมภาษณ์ข่าว หรือให้การใด ๆ เราก็จะนำส่วนนี้มาเปรียบเทียบดูกับ GPS ว่าพูดถูกต้องไหม ตำแหน่งถูกต้องหรือไม่ สิ่งที่เราทำก็คือไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรูปภาพ หรือการให้การ เราจะเอามันมาจับคู่กับ GPS สิ่งที่เราเห็นเลยก็คือบางตำแหน่งที่มีการแถลงข่าวหรือนำรูปภาพมาใช้ออกรายการ มันไม่ตรงกับความเป็นจริง 2-3 ภาพ และยังมีกล้องวงจรปิดที่เวลาเปลี่ยนไปด้วย จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า GPS ไม่ได้ถูกแก้ไข แต่สิ่งที่จะเอามาประกอบกับ GPS นี่แหละที่มีการแก้ไขแล้วมันไม่ตรงกันกับ GPS ย้ำว่าเราไม่ใช่นักสืบที่จะมาจับผิดอะไร แต่ข้อมูลทั้งหมดมันอยู่บนหน้าสื่ออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครได้เห็นข้อมูล GPS ของจริง
นายเอกราช กล่าวด้วยว่า สำหรับ GPS ของตนที่ได้วิเคราะห์แล้ว และ GPS ของดีเอสไอนั้น มันมี 2 ส่วน คือ ไฟล์ Raw Data หรือไฟล์ข้อมูลดิบ ที่เราดึงออกจาก GPS บนเรือลำเกิดเหตุ ซึ่งเป็นไฟล์เดียวกับที่ตำรวจมี ซึ่งเราก็ได้ชุดนี้มาจากศาล ตามที่มีการขอมา และของดีเอสไอก็เป็นชุดเดียวกัน ส่วนสิ่งที่แตกต่างก็คือซอฟท์แวร์ที่จะเอาข้อมูลมาใส่ลงและดูว่าเรือไปทางไหนยังไง ดังนั้น ซอฟท์แวร์ที่เราได้วิเคราะห์มา 3 ปี คือซอฟท์แวร์ที่เราได้พัฒนาขึ้น ตรวจสอบแล้วตรงกับต้นฉบับ และทางดีเอสไอก็มีซอฟท์แวร์ของเขาเอง ซี่งจะลึกลงไปอีก เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เราจะได้ข้อเท็จจริง 100% แบบที่ไม่ต้องมาโต้แย้งกันว่าอันไหนถูกอันไหนผิด
นายเอกราช กล่าวอีกว่า สำหรับระบบซอฟท์แวร์ ของตนจะเน้นการดูเวลา สถานที่ ความลึกเรือ ส่วนของดีเอสไอจะเน้นการดูภูมิประเทศที่ได้มากกว่านั้น อาจเป็นจุดที่ลึกกว่า แต่เราโฟกัสที่ตำแหน่งกับเวลาเป็นหลัก โดยตนโฟกัสตั้งแต่ต้นยันจบ คือ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. จนถึง 03.03 น. ณ วันเกิดเหตุ แต่ในตอนแถลงข่าวเหมือนจะสิ้นสุดแค่ตอนเอาเรือไปเก็บประมาณเวลา 01.00 น. แต่เมื่อเราได้ข้อมูลจริงมาจึงเห็นว่ามันมีการเดินเรือหลังเวลา 01.00 น. ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยความเร็วเรือ 38 นอต แล้วก็ยังไปที่วัดศาลาลี วัดค้างคาวอีก 1 ชม. ก่อนจะเอาเรือเข้าเก็บ แล้วสิ้นสุดการเดินเรือ
"ดังนั้น มันน่าสงสัยตั้งแต่มีการให้ข่าวว่าหลังจากเก็บเรือไปแล้ว ไม่มีใครเอาเรือออกมาอีกเลย มันผิดสังเกต เราเลยอยากรู้ว่ามันมีอะไรหลังจากนั้นหรือไม่ พอเราเห็นแล้วจึงนำมาประกอบกับหลักฐานต่าง ๆ ที่มีคนส่งมาให้ เเต่เราต้องคัดกรองให้ได้สิ่งที่มีที่มาที่ไปจริง ๆ วันนี้ที่เอาข้อมูลมาคุยกับดีเอสไอคือกรองแล้ว 40-50% จึงเหลือแค่จุดสำคัญจริง ๆ ที่มีการระบุว่ามีการแก้ไขเวลา สถานที่ไม่ตรง และระบุได้ชัดเจนว่าบนเรือมีกี่คนก่อนเวลาแตงโมตกเรือ และที่มีการแถลงข่าวว่ามีเงาอยู่ตรงท้ายเรือ และเงาหายไปคาดว่าแตงโมตกตรงนั้น แต่เราสามารถพิสูจน์ได้ จึงเอามาให้ดีเอสไอว่าเงาที่หายไป ไม่ได้หายไปทางด้านซ้าย (กาบเรือด้านซ้าย) ตามที่มีการให้ข่าว แต่เงาขึ้นไปบนเรือชัดเจน จึงไม่มีเงาหรือคนตกจากด้านท้ายเรือ"นายเอกรา่ช กล่าว
นายเอกราช กล่าวด้วยว่า ตนไม่ได้มีหลักฐานอะไรใหม่ แต่แค่เป็นหลักฐานเก่าที่ไม่เคยมีใครไปโฟกัส ตามที่มีการแถลงข่าวหรือให้การ ส่วนรูปภาพในโทรศัพท์ก็ไม่สอดคล้องกับ GPS บนเรือเเล่น เพราะถ้าดูเวลา 21.56 น. ที่มีประเด็นกันว่ามีการแก้ไขรูปหรือไม่นั้น จริง ๆ พิสูจน์ไม่ยากว่าแต่งรูปไหม เพราะดีเอสไอมีวิธีการดู ซึ่งเราก็รู้ว่ามันถูกแต่งแน่นอน และในเวลา 22.13 น. อันนี้ชัดเจนว่าถ่ายที่บริเวณสะพานพระราม 8 แล้วก็บอกในรายการเองว่าใครเป็นคนถ่าย แล้วจอดเรือถ่าย แต่เวลา 22.13 น. ดังกล่าว เรือมันเลยไปจะถึงสะพานซังฮี้แล้ว และแล่นด้วยความเร็ว 8 นอต ไม่ใช่จอดเรือแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายจุด เช่น จุดสะพานซังฮี้ เวลาก็ผิด หากถามว่าทำไมต้องแก้เวลาให้ผิดแบบนั้น เพราะมันจะไปประกอบกับจุดตก เวลาตกให้เหมาะสมพอดี
"เราพิสูจน์แค่เรื่องเดียวที่แซนพูดว่ามีการตกท้ายเรือจริงหรือไม่ ตกเวลานี้ และตกทางด้านซ้าย หรือจับอีกประมาณ 10 วินาทีหรือไม่ ถ้าเราพิสูจน์ได้ แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าทั้งหมดจะใช่เรื่องจริงหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ หากบทสรุปออกมาว่าเป็นการประมาทจริง ๆ ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมกัน เราก็ยอมรับได้ ก็ขึ้นอยู่กับทางดีเอสไอ เพราะเราไม่ได้มีอำนาจตรงนั้น เรามีหน้าที่ทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ แต่เชื่อว่าสิ่งที่เราทำมา 3 ปีค่อนข้างละเอียด และจะสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน"นายเอกราช กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี