“ปัญหาขยะอุตสาหกรรมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย คือรัฐบาลพยายามที่จะเร่งรัดการขยายตัวของการพัฒนาอุตสาหกรรม การส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจ พยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรม แต่ว่าน่าเสียดายที่ว่านโยบายส่งเสริมการลงทุนไม่ได้ควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อม”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวในกิจกรรมราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “วิกฤตขยะพิษกับชีวิตประชาชน”สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (ที่ทำการชั่วคราว) ห้อง 501 ชั้น 5 อาคาร The Rice สะพานควาย) เมื่อเร็วๆ นี้ฉายภาพการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยซึ่งมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา แต่ท่ามกลางความพยายามเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีโรงงานกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ มาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมกลับตามไม่ทันจนเกิดปัญหาขึ้นมากมาย
เมื่อประกอบกับการที่คนบางกลุ่มมองเห็นผลประโยชน์มหาศาล ปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกากขยะอุตสาหกรรมจึงแยกไม่ออกจากปัญหาคอร์รัปชั่น จากนั้นเมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2540 ก็เริ่มมีการทยอยแก้ไขกฎหมาย เช่น แต่เดิมมีเพียงโรงงานประเภท 101 (โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม) ในปี 2544 ก็มีการออกกฎกระทรวงฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2544) ออกตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535
ตามด้วยปี 2545 ที่มีการออก ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ 105 และลำดับที่ 106 ทำให้มีโรงงานเพิ่มมาอีก 2 ประเภท คือ โรงงานประเภท 105 (โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่มีลักษณะและคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535)
และโรงงานประเภท 106 (โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม)อีกทั้งอนุญาตให้สร้างได้ทุกจังหวัด กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงปี 2559 ได้มีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ก็ยิ่งทำให้การก่อสร้างโรงงานกลุ่มนี้ทำได้ง่ายขึ้น
“การกระจายตัวของโรงงานกลุ่มนี้มันเริ่มมาก่อนหน้านั้น เพียงแต่ว่าไปติดที่กฎหมายผังเมืองที่ว่ามีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่เกษตร ไม่สามารถสร้างโรงงานกลุ่มนี้ได้ แล้วมันทำให้โรงงานอุตสาหกรรมหรือผู้ที่เล็งเห็นประโยชน์ในการทำธุรกิจตรงนี้เห็นว่าเป็นตัวที่ปิดกั้นการกระจายตัวหรือการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้ ฉะนั้นข้อมูลที่ถูกป้อนกับทางรัฐบาลจึงมองว่ากฎหมายผังเมืองเป็นอุปสรรค แล้วพอมีคำสั่งที่ 4/2559 ก็ทำให้โรงงาน 105 และ 106 สามารถที่จะกระจายตัวไปเร็วมาก เพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยโรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” เพ็ญโฉม ระบุ
อย่างไรก็ตาม ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศมองว่า หลังจากกระทรวงอุตสาหกรรมเริ่มเอาจริงเอาจัง มีการดำเนินการตามกฎหมาย แม้โทษจะเบาแต่ก็ทำให้ชาวบ้านเริ่มวางใจมากขึ้น และหากมี “กฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม” ออกมาบังคับใช้ ก็น่าจะเป็นแนวทางที่สำคัญอันหนึ่งในการแก้ไขปัญหา นอกจากนั้นแล้ว อีกสิ่งที่รอกอยู่คือการแก้ไข พ.ร.บ.โรงงาน รวมถึงการมี “กฎหมายรายงานการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR)” ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) ส่งเสริมให้ทุกประเทศมีกฎหมายนี้
อีกทั้งการเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งไทยก็พยายามจะเข้าร่วม ก็มีเงื่อนไขว่าชาติที่จะเข้าร่วมต้องมีกฎหมาย PRTR ซึ่งการไม่มีกฎหมายนี้ การแก้ไขปัญหามลพิษก็ยังมีช่องโหว่อยู่ ซึ่งภาคประชาชนได้ผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่กลไกรัฐสภาแล้ว และรออยู่ว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเรียกตัวแทนผู้เสนอร่างกฎหมายเข้าไปนำเสนอเมื่อใด
“เรื่องของกากอุตสาหกรรมทำให้เกิดการปนเปื้อนมลพิษในประเทศไทยเยอะมาก หากประเทศไทยกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลตรงนี้ออกมา ทำอย่างที่อเมริกา ยุโรป เยอรมนี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ เขาทำแผนที่ออกมาเลย เป็น Hotspot (จุดเสี่ยง) ว่าแต่ละพื้นที่ของแต่ละประเทศมี Hotspot เกิดขึ้นในกี่พื้นที่ สถานภาพของ Hotspot เหล่านี้อยู่ที่ระดับใด เพื่อที่จะได้วางแผนที่จะทำความสะอาดพื้นที่ ตั้งงบประมาณที่จะแก้ไข และพยายามที่จะผลักดันขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจที่สีเขียวมากขึ้น ยั่งยืนมากขึ้น เราไม่มีฐานข้อมูลนี้เลย” เพ็ญโฉม กล่าว
ข้อสังเกตเรื่องธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรม (หรือกากอุตสาหกรรม) พัวพันกับผลประโยชน์มหาศาล ดูจะสอดคล้องกับเรื่องเล่าของ ขนิษฐนันท์ อภิหรรษากรรองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบโดยทีมงานของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีมีประชาชนร้องเรียนเข้ามา ซึ่งในช่วง 3-4 ปีล่าสุด ผู้ตรวจการแผ่นดินให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องขยะพลาสติก ขยะสารเคมีและกากอุตสาหกรรม
“ปัญหาหนึ่งที่เราพบโดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนมากผู้ประกอบการมักจะเป็นผู้ที่ต้องเรียกว่ามีอิทธิพลในพื้นที่พอสมควร บางครั้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในพื้นที่ก็จะไม่ค่อยกล้าลงไปยุ่งอะไรมากนัก หรือว่าเราเคยเจอเคสว่ามีการขออนุญาตจัดตั้งหรือประกอบการประเภทหนึ่ง แล้วทางจังหวัดมองว่าไม่น่าทำได้ บอกว่าไม่อนุญาตได้ไหม? คือจังหวัดบอกว่าไม่อนุญาตผู้ประกอบการก็ไปอุทธรณ์กับรัฐมนตรีบ้างอะไรบ้าง ไปอุทธรณ์เสร็จ ในกรณีที่เราเจอ รัฐมนตรีก็อนุญาตกลับมา” ขนิษฐนันท์ กล่าว
โดยเมื่อรัฐมนตรีอนุญาต ผู้ประกอบการก็มาประกอบกิจการในพื้นที่ แต่เมื่อทำแล้วเกิดปัญหา มีคนร้องเรียนมายังผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ลงไปตรวจสอบทั้งสถานที่ประกอบการ พูดคุยกับประชาชน ในกรณีที่เจอคือกิจการอยู่ติดกับหมู่บ้าน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงรัฐมนตรีคนใด แต่จะบอกว่ามีกระบวนการแบบนี้เกิดขึ้น โดยมีหน่วยงานรัฐให้ข้อมูลว่าที่กิจการเปิดได้เพราะอะไร
ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ดำเนินการใดๆ ได้ โดยทำได้เพียง 1.มีหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง เสนอแนะให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน กับ 2.จัดทำข้อเสนอแนะในประเด็นหน้าที่ของรัฐ ตามหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ซึ่งเสนอได้ถึงระดับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดย ครม. จะมีอำนาจในการแจ้งหรือสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ
ส่วนการติดตามภายหลังที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อเสนอแนะไปแล้ว เสียงสะท้อนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือปัญหาด้านงบประมาณ ซึ่งเหตุที่ต้องใช้งบประมาณของรัฐเพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้นโรงงานก็ปิดตัวหายไป แม้จะมีการฟ้องต่อศาลจนมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบการเยียวยาผลกระทบ แต่สิ่งที่พบคือบริษัทแจ้งล้มละลาย แม้จะยึดทรัพย์สินที่มีอยู่มาได้ก็ยังไม่เพียงพอจะเยียวยาประชาชน ยังไม่นับบางรายที่หัวหมอ หาช่องทางอุทธรณ์ต่างๆ นานา เวลาผ่านไปตามคดีก็ยังไม่ถึงที่สุดเสียที
ด้าน สนธิ คชวัฒน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยและชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้ง 3 ประเภท ประมาณ 2,500 โรง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่ลงทุนน้อยและมีประสิทธิภาพในการบำบัดต่ำ บางส่วนเก็บไว้ในโรงงาน และบางส่วนก็ไปลักลอบทิ้ง ซึ่งหากเป็นไปได้ โรงงานกลุ่มนี้ควรตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพราะเป็นพื้นที่ปิด ต้องมีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
และควรยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวเมื่อบวกกับกฎหมายอำนาจความสะดวก ให้ปิดประกาศ 15-30 วัน ในหน่วยราชการ 3 แห่ง หากไม่มีใครคัดค้านก็ตั้งได้ เอื้อให้เกิดการตั้งโรงงานกลุ่มนี้ติดชุมชนเต็มไปหมด อีกทั้งการประกอบกิจการกลุ่มนี้จะทำได้ก็ต้องกำหนดให้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนสูงและมีระบบที่บำบัดมลพิษได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ
“กำหนดว่าโรงงานทุกแห่งจะต้องทำประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม พวกนี้มีความเสี่ยงสูง เรารู้อยู่แล้ว เดี๋ยวไฟไหม้ เดี๋ยวแอบทิ้ง แล้วบริษัทประกันภัยจะมาตรวจสอบแทนหน่วยราชการเอง นี่คือถ้าเกิดปัญหาเมื่อไรประกันภัยจ่ายชดเชยแก่ประชาชน ไฟไหม้หรือแอบเผาเมื่อไร อย่างนี้จ่ายหรืออะไรก็ว่าไป อีกอันคือตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม ให้โรงงานทั้งหลายจ่ายเงินเข้ากองทุนตามข้อกำหนด เมื่อเกิดอุบัติภัยสิ่งแวดล้อม รัฐเอาเงินจากกองทุนจ่ายเยียวยา ไม่ใช่ไปรอให้ชาวบ้านฟ้องศาลหลายปี” สนธิ กล่าว
ในวงเสวนาครั้งนี้ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการจัดทำ “ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม” โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1.วิธีคิด หลักการของร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม คือแยกกิจการกำจัดกากของเสียออกจากกิจการปกติทั่วไป กล่าวคือ การขออนุญาตประกอบกิจการ หากเป็นโรงงานทั่วไป ให้อยู่บนหลักความง่ายในการประกอบธุรกิจ แต่หากเป็นโรงงานกำจัดกากของเสียต้องมีการควบคุมที่เข้มงวด กิจกการการกำจัดกากอุตสาหกรรมจึงต้องถูกแยกออกมาจากกฎหมาย พ.ร.บ.โรงงาน
2.ครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน หมายถึงกำกับกากของเหลือใน 2 ด้าน ทั้งจากการผลิต เช่นเศษเหล็กเหลือจากการผลิตรถยนต์ในโรงงาน และจากการบริโภค หมายถึงสินค้าที่ซื้อมาใช้สอยแล้วต่อมากลายเป็นขยะ เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ สายไฟ แผงวงจร ซากรถยนต์ 3.เพิ่มบทลงโทษการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ โดยกำหนดห้ามนำเข้ากากอุตสาหกรรม (เว้นแต่เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิต)
โดยอัตราโทษของผู้ฝ่าฝืน ในส่วนของโทษจำคุกจะอิงมาจากกฎหมายศุลกากร ซึ่งการสำแดงเท็จมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี แต่ในส่วนของโทษปรับนั้น ร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ตั้งไว้ที่สูงสุด 1 ล้านบาท และโทษปรับจะหนักขึ้นเป็นสูงสุด 2 ล้านบาท กรณีเป็นกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย มากกว่ากฎหมายศุลกากรซึ่งอยู่ที่ 5 แสนบาท เพื่อป้องปรามไม่ให้นำเข้ามา เพราะเมื่อนำเข้ามาแล้วการผลักดันออกไป การจัดการนั้นมีต้นทุนสูงมาก
4.กำหนดอำนาจตรวจสอบและดำเนินการแม้เป็นพื้นที่ “เขตปลอดอากร (Free Zone)” เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหามาก เพราะเขตปลอดอากรอยู่ภายใต้กรมศุลกากร แต่กฎหมายนี้ใช้หลักคิดเรื่องความปลอดภัย เพราะเขตปลอดอากรก็ยังอยู่ในประเทศไทย แบบเดียวกับเรื่องโรคติดต่อของสัตว์หากมีโรคระบาดออกมายังพื้นที่รอบๆ กากอุตสาหกรรมก็สามารถซึมออกมาภายนอกได้เช่นกัน ดังนั้นหากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อตรวจยึดแล้วจะผลักดันออกหรือทำลาย ไม่มีปล่อยค้างอีกต่อไป
5.ใบอนุญาตประกอบกิจการเป็นแบบต่ออายุ ไม่ใช่ให้ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป เพื่อเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทั้งจากภาครัฐหรือผู้ตรวจสอบของเอกชนเข้าไปตรวจสอบการดำเนินการของโรงงานได้ 6.ควบคุมตามลักษณะของกิจการ ไม่ใช่ขนาดของสถานประกอบการ โดยแยกใบอนุญาตระหว่างสถานที่รวบรวมกับสถานที่กำจัด กล่าวคือ หากขอใบอนุญาตเป็นสถานที่รวบรวม จะทำได้เพียงรวบรวมเท่านั้น ไม่สามารถแกะแยกชิ้นส่วนได้
ในขณะที่การแกะแยกชิ้นส่วนจะเป็นใบอนุญาตแบบที่ต้องควบคุมสถานที่ตั้ง เพื่อป้องกันปัญหา เช่น ผลกระทบจากการแยกชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ในชุมชน 7.ส่งเสริมให้มีสถานที่รวบรวมและกำจัดกากอุตสาหกรรมของโรงงานภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เพื่อลดการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมออกไปนอกพื้นที่ โดยให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้กำกับดูแล แต่หากเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม การเคลื่อนย้ายและกำจัดกากอุตสาหกรรมก็จะต้องมีระบบการแจ้งและตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น
และ 8.ตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผลกระทบหากเกิดความเสียหายจากกากอุตสาหกรรม และเป็นเจ้าภาพในการดำเนินคดีกับผู้ก่อความเสียหาย ที่ผ่านมาการเยียวยาประชาชนทุลักทุเลมาก เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีงบประมาณรับมือภัยพิบัติอยู่เพียง 10 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น งบประมาณที่ต้องนำมาใช้เยียวยาผลกระทบตามความเป็นจริงมักสูงกว่านั้นมาก ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานในการทำเรื่องของบกลางจากนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นสิ่งที่จะตั้งขึ้นตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเรียกว่า “กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน” ก็จะเข้าไปทำหน้าที่ฟ้องดำเนินคดีเป็นตัวแทนชาวบ้าน และกองทุนจะใช้เงินของตนเองไปดำเนินการก่อนระหว่างรอเงินจากการไปฟ้องคดีแล้วเรียกกลับมา นอกจากนั้นกองทุนยังทำหน้าที่ของบอุดหนุนประจำปีด้วย ทั้งนี้ “การเกิดขึ้นของกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน จะไม่ใช่การตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ใช้กลไกที่มีอยู่แล้วคือกองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ” ที่มีเงินอยู่แล้วราว 2 หมื่นล้านบาท
โดยร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม จะเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กองทุนดังกล่าวเข้าไปเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเป็นตัวกลางในการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ขณะที่ “ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกากอุตสาหกรรม จะถูกกำหนดให้ต้องวางเงินประกันและทำประกันภัย” ซึ่งในส่วนของประกันภัย นอกจากจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น เช่น ค่าเก็บกวาดกรณีเกิดเหตุแล้ว ยังรวมถึงการเยียวยาประชาชน แต่ก่อนจะจ่ายก็ต้องมีการตรวจสอบโรงงานด้วย
“เราไม่ได้ให้เป็นธุระของบริษัทประกันภัยอย่างเดียว เราให้เขาวางประกัน สมมุติ 100 คน ให้วางเงิน 5 ล้าน เราก็มี 500 ล้าน แล้วถ้าโรงไหนมีปัญหาก็หยิบเงินนี้ไปใช้ก่อนแล้ววนกลับมา ผมจะบอกว่าเราสร้างบรรยากาศให้บริษัทประกันภัยรับภาระน้อยลงด้วยจากเงินประกันที่วาง เพราะหากทำแบบนี้ก็เกิดการประกันได้จริง หัวใจคือให้ทำประกัน แต่หัวใจสำคัญคือวางประกัน การรวมเงินประกันตรงกลาง สมมุติมีคนหนึ่งเป็นเด็กเกเร คิดว่าจะโดนฟ้องไหม? จะโดนรังเกียจไหม? เพราะมันเป็นตัวนำเงินกองทุนเราออกไป” อรรถวิชช์ กล่าว
หมายเหตุ : ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 29 ม.ค. 2568 มีการบรรจุร่าง พ.ร.บ.การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ. .... (น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 11,685 คน เป็นผู้เสนอ) และร่าง พ.ร.บ.การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....(น.ส.กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ซึ่งก็ต้องติดตามกันว่าจะมีถูกเลื่อนออกไปหรือจะได้พิจารณาในวันดังกล่าว รวมถึงร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม จะถูกเสนอเข้าสู่กลไกสภาฯ ด้วยหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี