“มท.1”รับลูกนายกฯนั่งหัวโต๊ะขันนอตผู้ว่าฯ ระดมแก้ฝุ่นพิษ หาวิธีนำเงินเยียวยาชาวบ้านก่อนเผาไม่ได้ เหตุติดปัญหาต้องวัดค่าฝุ่นได้ถึง 150 มคก.ก่อน แต่ถ้าปล่อยไปถึงจุดนั้นปท.ไทยมืดดำกันพอดี ขีดเส้น 3 เดือนจากนี้ต้องงดเผาเด็ดขาด ย้ำบังคับใช้ก.ม.เคร่งครัด ฮึ่มผู้ว่าฯละเว้นโดนเด้งแน่ สั่งทุกจว.หาวิธีช่วย
ชาวบ้านกำจัดวัชพืชซากผลผลิตเกษตรฯ หลังห้ามใช้วิธีเผา ด้านกทม.เตือนคนกรุงเตรียมรับมือค่าฝุ่นกลับมาสูงอีกครั้ง ถึง 5 กพ.
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภช.)เพื่อ ติดตามปัญหาหมอกควัน ไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัดร่วมประชุมรับมอบนโยบายผ่านระบบ
มท.1ขันน๊อตผวจ.เข้มห้ามเผา
นายอนุทิน กล่าวระหว่างการประชุมว่า นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงต่อสถานการณ์นี้มาก จากที่ตนลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ ติดตามสถานการณ์ฝุ่นไฟป่าภาคเหนือ ซึ่ง 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นพื้นที่มีจุดความร้อนมากที่สุด มีการเผาที่โล่งเผาวัชพืช ผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุด ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศพื้นที่ห้ามเผาและสั่งยกระดับดำเนินการทุกมาตรการเข้มข้น ให้ผู้ว่าฯใช้ระบบบริหารจัดการแบบ Single Command ในการบรรเทาสาธารณภัยแก้ปัญหา โดยนอกจากอำนาจผู้ว่าฯแล้วยังใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภัยแห่งชาติ เพื่อการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน
งัดแซงชั่นปท.รอบบ้านที่ยังเผา
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนการเผาจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น ไม่ต้องกังวล เราต้องจัดการในบ้านเราให้เรียบร้อยก่อน ถ้ายังมีเหตุมาจากเพื่อนบ้าน ก็จะกดดันรัฐบาลต้องเร่งไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ในการแซงชั่น ไม่อุดหนุนสินค้าทางการเกษตร หากมาจากการเผาวัชพืชเหล่านี้ และก่อให้เกิดมลพิษข้ามมาประเทศเรา ทั้งนี้ ที่ตนไปภาคเหนือ ทุกหลังคาเรือนปลูกพืชผลทางการเกษตรเช่นนี้ ซากที่เกิดขึ้นเช่นซังข้าวโพด ในหนึ่งตำบล มีอยู่ประมาณ 100 กองๆละ 700,000 กิโลกรัม ที่อำเภอแม่แจ่มอำเภอเดียวอาจทำให้ หมอกควันปกคลุมทั้งประเทศไม่ใช่แค่เชียงใหม่อย่างเดียวทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล ซึ่งต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด หาทางเลือกช่วยชาวบ้านด้วย เช่น ที่เชียงใหม่ที่ทำคือให้ฝังกลบ แปรสภาพ เศษซังข้าวโพด ซึ่งรัฐต้องสนับสนุน เครื่องจักรเข้าไป หรือนำไปเป็นเชื้อเพลิงไบโอเพาเวอร์ เอาไปเป็นไอน้ำความร้อนฝ่ายผลิตไฟฟ้า เอาไปแปรสภาพเป็นอาหารสัตว์ หรือทำปุ๋ยชีวภาพ
ระดมกึ๋น!ช่วยชาวบ้านไม่ต้องเผา
นายอนุทินยังกล่าวตอนหนึ่งถึงการชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติว่า กรณีน้ำท่วม ต้นปีภาคเหนือไตรมาส 3 ภาคกลางไตรมาส 4 ภาคใต้ เราใช้เงินเกือบ 20,000 ล้านบาท ชดเชยความเดือดร้อน หลังคาเรือนละ 9,000 บาท น้ำลดหรือเพิ่มเกิน 3 วันชาวบ้านได้เงิน แต่กรณีหมอกควันยังไม่เกิด เราจะเอาเงินไปให้ชาวบ้านก่อนไม่ได้ มันต้องเกิดการเผาเกิดมลพิษควันดำก่อน กว่าจะเอาเงินออกมาได้ ความเสียหายค่ามลพิษต้องเกิน 150 ไมโครกรัม หากไปถึงจุดนั้นประเทศไทยมืดมิดไปทั้งประเทศ ถึงจะนำเงินไปใช้ได้ จึงขอข้อแนะนำช่วยกันคิดการสนับสนุนของแต่ละจังหวัด ผลักดันให้มีงบช่วยเหลือชาวบ้านก่อนเพื่อให้หยุดเผา เป็นจุดที่ต้องวางมาตรการ ในส่วนนี้ขอความร่วมมือทุกฝ่ายความมั่นคงทหารตำรวจภาครัฐเกษตรทรัพยากร และหน่วยงานเทคโนโลยีให้ช่วยกัน ส่วนที่บังคับใช้กฎหมายก็ต้องทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเดือดร้อน
ลั่นภายใน3เดือนนี้ต้องไม่มีการเผา
นายอนุทินแถลงหลังประชุมว่า วันนี้ประชุมบูรณาความร่วมมือทุกส่วนราชการ ภายใต้พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติระดับชาติ ทุกหน่วยงานต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยใน 3 เดือนนี้ต้องไม่มีการเผาป่า เผาในที่โล่งแจ้ง เผาซากผลผลิตทางการเกษตร เพราะสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่อประเทศ และสุขภาพประชาชน
ติดดาบผู้ว่าฯใช้กม.เข้มใครเผาผิดกม.
นายอนุทินยังกำชับว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะกำหนดวันเผาแต่ในที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า จะตัดวันเผาออกไป ต้องไม่เผา หากเผาจะผิดกฎหมายถูกดำเนินคดี มีมาตรการลงโทษ และที่สำคัญจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือหรือสิทธิช่วยเหลือใดจากราชการ โดยมอบผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดรับมอบอำนาจเบ็ดเสร็จ สามารถสั่งการป้องกัน ไม่ให้เกิดภัยพิบัติ ไฟป่าและการเผาทุกรูปแบบเต็มที่ ทั้งนี้ มอบให้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลดำเนินการให้ประชาชนรับทราบ
“ข้อสรุปที่ประชุมวันนี้ การดำเนินการทุกอย่างต้องห้ามเผาใครเผาถือว่าผิดกฎหมาย มีบทลงโทษที่รุนแรง ขอให้เข้าใจรัฐบาลที่ดูแลภาพรวม เพราะเมื่อดูแลบ้านเราเรียบร้อยแล้ว เราจะพร้อมไปเจรจาเพื่อนบ้าน โดยไม่ให้ความร่วมมือซื้อสินค้า ไม่ให้ความร่วมมือเป็นจุดผ่านสินค้าไปประเทศที่สาม แซงชั่น และเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี”นายอนุทินกล่าว
เล็งชงงบซื้ออุปกรณ์กำจัดแทนเผา
และว่า เบื้องต้น ที่ประชุมหารือเรื่องการของบกลางช่วยเหลือค่าใช้จ่าย เพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากการเผาเพื่อเตรียมหน้าดินเป็นรูปแบบอื่น เพื่อให้มลพิษนั้นหมดไป ในรูปแบบ อาทิ เครื่องบีบอัดเศษพืชผลทางการเกษตร แทร็กเตอร์ ค่าน้ำมัน เป็นทางเลือกให้ชาวบ้าน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูงบที่แต่ละจังหวัดจัดสรรไว้ว่าจะช่วยส่วนใดได้บ้าง
ฮึ่ม!ผู้ว่าฯเกียร์ว่างเจอเด้งแน่
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีมาตรการอย่างไรหากยังมีการเผาอยู่ในพื้นที่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะออกมาในลักษณะการขอความร่วมมือก่อน หากยังพบการเผาแสดงว่ายังไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ของผู้ราชการจังหวัด ทุกอย่างเป็นไปตามกติการสากล ผู้ว่าฯต้องให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นข้อสั่งการมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว เพราะนายกฯเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และหากพบว่าผู้ว่าฯคนใดยังละเว้นอยู่ ก็ต้องมาอยู่ตึกหลังนี่ นายกฯรีบเซ็นให้อยู่แล้ว
กทม.เตือนค่าฝุ่นพีคอีกรอบถึง5กพ.
ด้านนายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ช่วง 7 วันข้างหน้า ค่าฝุ่นจะกลับมาสูงและเริ่มมีผลต่อสุขภาพว่า จากการคาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นช่วงวันที่ 29 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์อ่อน ประกอบกับมีการเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว คาดการณ์ว่าค่าฝุ่น PM2.5 ใน กทม. 7 วันข้างหน้า ช่วงวันที่ 30 มกราคม-5 กุมภาพันธ์แนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
PM2.5เริ่มพุ่งระดับส้มยาวถึง3กพ.
วันเดียวกัน ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ประจำวันค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 32.8 มคก./ลบ.ม. ค่าฝุ่นแนวโน้มเพิ่มขึ้น คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เกินมาตรฐาน เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 12 พื้นที่ โดยเกินมาตรฐานระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ อาทิ 1.เขตลาดกระบัง 2.เขตหนองแขม 3.เขตบางกอกน้อย 4.เขตสวนหลวง 5.เขตภาษีเจริญ 6.เขตพระโขนง 7.เขตธนบุรี 8.เขตทวีวัฒนา 9.เขตคลองสามวา 10.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน 11.เขตบางขุนเทียน 12.เขตสายไหม ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 29 มกราคม- 3 กุมภาพันธ์ การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์อ่อน ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นแนวโน้มทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ ยังพบค่าฝุ่นทั่วประเทศ 5 อันดับสูงสุด โดยจ.สมุทรสงครามมีค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศที่ 58.1 มคก./ลบ.ม.ตร ตามด้วยสุโขทัยที่ 56.2 มคก./ลบ.ม. ตามด้วยจ.สุโขทัย 56.2 มคก./ลบ.ม. ตราด 55.6 มคก./ลบ.ม. สมุทรสาคร 55.6 มคก./ลบ.ม. และ เพชรบุรี 47.8 มคก./ลบ.ม. อันดับที่ 5
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี