30 ม.ค. 2568 ในการเสวนาหัวข้อ “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5” ที่เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ในช่วงท้ายของงาน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นฝุ่น PM2.5 ว่า ย้อนไปในปี 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยจัดเสวนาเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ในขณะที่สังคมไทยยังไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก ซึ่งก็ทำให้สื่อสารข้อมูลออกไปในวงกว้างว่าฝุ่น PM2.5 มีอันตรายอย่างไร และเกิดสิ่งที่เรียกร้องหลายอย่าง
ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้ มองเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นโดยเฉพาะค่าเกณฑ์มาตรฐาน ที่ปรับลงจาก 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลงมาเป็น 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กระตุ้นให้สังคมรู้ตัวเร็วขึ้น ได้เห็นภาคประชาสังคม ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนตื่นตัวมากขึ้น แต่ที่น่าเสียดายคือภาครัฐยังเหมือนเดิม กล่าวคือ หากกระแสไม่เกิดก็จะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เช่น เรามีคำว่าฤดูฝุ่น พอถึงปลายปีกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเตรียมตัวแล้ว พอถึงช่วงต้นปีภาคเหนือก็เตรียมตัว
แต่สังเกตได้ว่าภาครัฐไม่เตรียมตัวล่วงหน้า โดยแต่ละหน่วยงานก็รับผิดชอบไปตามวาระแห่งชาติ ไม่เห็นว่าในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่ฝุ่นเริ่มสูงขึ้นแล้วจะมีการออกมาเตือนจนกระทั่งถึงจุดวิกฤต และที่น่าแปลกใจมากสำหรับปีนี้ ตนเห็นว่ากลไกวาระแห่งชาติที่สำคัญอย่างคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไม่ทำงาน โดยเมื่อค่าฝุ่นถึงจุดวิกฤต เช่น แตะระดับ 70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร คณะกรรมการที่มีรองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ และมีกรมควบคุมมลพิษเป็นเลขา ต้องตั้งทีม ระดมนักวิชาการ วางแผนและสั่งการ
“ท้องฟ้ามันไม่มีเขตจังหวัด ไม่มีเขตอำเภอ แต่ถึงเวลาสั่งการคือแต่ละจังหวัดรับผิดชอบไป แต่ละอำเภอรับผิดชอบไป ที่จริงมันต้องทั้งประเทศ จะเห็นว่าแต่ละกระทรวงก็รับผิดชอบแยกกันไป จนเราก็เห็นสิ่งเดิมๆ ยังเห็นรถน้ำออกมาวิ่งพ่นฉีดน้ำไล่ฝุ่นเหมือนเดิมทุกปี ทั้งที่วิชาการก็พูดแล้ว สื่อโซเชียลก็แซวแล้วแซวอีกก็ยังเห็นอยู่ มันคงมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
รศ.ดร.เจษฎา กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการพยากรณ์ ตนรู้ว่าเราสามารถพยากรณ์ล่วงหน้า 7 วันได้ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝุ่นหนาแต่ไม่มีมาตรการอะไรเลย แต่สัปดาห์นี้รู้ล่วงหน้าว่าเดี๋ยวมวลอากาศเย็นจะมาแล้วฝุ่นจะหายไปกลับสั่งปิดสถานศึกษา ซึ่งแม้ผู้มีอำนาจจะบอกว่าแนะนำไม่ได้สั่ง แต่ในทางราชการแนะนำก็คือสั่ง ซึ่งหากจะสั่งเหตุใดไม่สั่งบนความเป็นวิทยาศาสตร์
และโดยส่วนตัว ตนก็ไม่เห็นด้วยกับการสั่งปิดสถานศึกษา เพราะเป็นการผลักภาระให้นักเรียน-นักศึกษาไปอยู่ที่บ้านซึ่งไม่มีเครื่องฟอกอากาศ อย่าได้นำคนในเมืองจำนวนน้อยๆ มาเป็นเกณฑ์ เมื่อไม่มีเขาก็ใช้ชีวิตทั่วๆ ไป แล้วฝุ่นไม่ว่าที่สถานศึกษาหรือที่บ้านก็เท่าๆ กัน ซึ่งจริงๆ แล้วสถานศึกษาต้องทำพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เรียน เหตุใดเราจึงไม่ทำให้ห้องเรียนทุกห้องเป็นห้องเรียนปลอดฝุ่น
“ทำไมเราไม่ทำให้พื้นที่สถานที่ราชการ สถานที่ต่างๆ เป็นสถานที่ที่ปลอดฝุ่น เราไม่ทำ เราผลักภาระออกไป แล้วแถมยังมีโครงการแปลกๆ เช่น เอาเงินไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรี รถเมล์ฟรี ซึ่งผมก็บ่นหนักมากเลยว่ามันช่วยจริงหรือเปล่า? เพราะผมขับรถยนต์ก็ไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/857025 ฝุ่นPM2.5กระทบสุขภาพชัดเจน! วงเสวนาย้ำต้องแก้จริงจัง แต่การปรับเปลี่ยนต้องเข้าใจวิถีชีวิตคน
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี