จับนายร้อยปอยเปต
แก๊งคอลฯตุ๋นเหยื่อ
‘ดีอี’รุกปิดบัญชีม้า
ตัดวงจรมิจฉาชีพ
ตำรวจปอท.รวบ 2 ผู้ต้องหา “แก๊งนายร้อยปอยเปต”วีดีโอคอลตุ๋นเหยื่อเสียหายจำนวนมากด้าน“ประเสริฐ”เผยดีอี ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1.6 ล้านบัญชี เตือนผู้ให้ใช้บัญชี โทษจำคุก 3 ปีปรับ 3 แสน ส่วนร่างแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันฯ คาดประกาศใช้ ก.พ.นี้ จ่อพัฒนาแอปฯ แจ้งตัวตนเวลาโทร.แพลทฟอร์มออนไลน์ ต้องแจ้งข่าวปลอม
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ พ.ต.ท.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.กานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท.พร้อมคณะ แถลงจับกุม นายรามิล อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา และนายวุฒิ อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันหลอกลวงโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ และร่วมกันฟอกเงิน จับกุมนายรามิล ได้ที่บ้านพักในพื้นที่หมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ส่วนนายวุฒิ จับกุมได้ที่บ้านพักในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากตำรวจ กก.1 บก.ปอท.รับแจ้งจากผู้เสียหาย ว่ามีคนร้ายแต่งกายเป็นตำรวจ วีดีโอคอล ข่มขู่ว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและคดียาเสพติด ทำให้ผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัว เชื่อว่าเป็นตำรวจจริง จากนั้นคนร้ายหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน อ้างว่าจะต้องตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของคนร้าย เป็นมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ภายหลังได้รับแจ้ง ทางชุดสืบสวนได้เร่งสืบสวนติดตามกลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีพฤติการณ์แต่งกายเลียนแบบตำรวจ แล้ววีดีโอคอลข่มขู่ผู้เสียหายให้เกิดความตกใจกลัว ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการเปิดเผยโฉมหน้าของกลุ่มคนร้ายดังกล่าวผ่านสื่อช่องทางต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโฉมหน้าคนร้ายที่แต่งกายเลียนแบบตำรวจ มีการให้ชื่อเรียกว่า ‘กองร้อยปอยเปต’ เนื่องจากพฤติการณ์ของคนร้ายกลุ่มนี้ มีที่ตั้งหรือศูนย์คอลเซ็นเตอร์ ที่ใช้หลอกลวงเหยื่อ ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ก่อนจะโทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูล พบว่ามีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 ราย เจ้าหน้าที่จึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นตำรวจ แล้ววิดีโอคอล มาหลอกลวงผู้เสียหาย ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว
สอบสวนนายรามิล รับสารภาพว่า ทำหน้าที่เป็นสายที่ 1 ในการติดต่อเหยื่อ จากระบบซิมบ็อกซ์ ที่เซ็ตระบบไว้ มีการพูดตามสคริปต์ที่บอสชาวจีน และคนคุมงานซึ่งเป็นคนไทย ส่งมาให้ เมื่อพูดคุยชักจูงเหยื่อจนหลงเชื่อแล้ว ก็จะส่งต่อให้กับสายที่ 2 ดำเนินการ
ขณะที่นายวุฒิ รับสารภาพว่า ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะแต่งกายคล้ายตำรวจ วีดีโอคอลเพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินโดยอ้างว่าต้องตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคารของเหยื่อที่พัวพันกับการฟอกเงินคดียาเสพติด ที่ผ่านมาได้หลอกลวงเหยื่อไปหลายราย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีคนร้ายที่เรียกว่าสาย 3 คอยทำหน้าที่ปิดดีล จนเหยื่อโอนเงินให้สำเร็จ ซึ่งระหว่างหลอกลวงจะมีคนควบคุมทั้งคนไทยและชาวจีน หากตนไม่ปฏิบัติตามหรือต่อต้านก็จะถูกทำร้ายร่างกาย แต่หากสามารถหลอกลวงเหยื่อและมีการโอนเงินมาให้ ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าที่หลอกลวงจากเหยื่อได้
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวนายรามิล ส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท รับไว้ดำเนินคดี ส่วนนายวุฒิ ได้ส่งให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท.ดำเนินคดี
วันเดียวกัน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ว่าได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสถิติการระงับบัญชีม้า รวมกว่า 1,660,000 บัญชี จับกุมผู้ที่เป็นเจ้าของบัญชีม้า 2,495 ราย
สำหรับ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร หรือบัญชีม้า จะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีไปใช้ ในฐานเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังพิจารณายกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกเป็นหนังสือเวียน เลขที่ ธปท.ฝตท. (01) ว. 384/2567 แจ้งต่อสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ทุกแห่ง ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน เรื่อง การเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีเงินฝาก หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในกรณีลูกค้ามีความเสี่ยงสูงหรือใช้บัญชีที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมผิดปกติ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เพื่อเป็นการจัดกลุ่มบัญชีม้า โดยยกระดับการจัดการ ‘บัญชี’ เป็นระดับ ‘บุคคล’ (ระงับช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกบัญชี ทุกธนาคาร ถ้ามีชื่อว่าเป็นผู้ขายบัญชี ให้คนร้าย หรือ บัญชีม้า) และดำเนินการเข้มข้นขึ้นทั้งบัญชีในปัจจุบันและการเปิดบัญชีใหม่
ที่รัฐสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตั้งกระทู้ถามนายประเสริฐ เรื่องการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามและหลอกลวงทางออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย และการบริการโทรคมนาคม ซึ่งนายประเสริฐ ตอบกระทู้ถามตอนหนึ่ง ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านความเห็นชอบการแก้ไขร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างที่กฤษฎีกา พิจารณารายละเอียด คาดว่าจะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายประเสริฐ กล่าวถึงมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดปัญหา รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยออนไลน์ผ่านการสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยการแก้ปัญหาซิมม้า ทางกระทรวงดีอี ได้ตรวจสอบการถือครองและมีมาตรการให้ศูนย์บริการโทรศัพท์ และ กสทช.ให้ผู้ที่ถือครองซิมจำนวนมาก มาชี้แจง รวมถึงตรวจสอบการโทรศัพท์ที่เกิน 100 สายต่อวัน หากไม่สามารถให้เหตุผลได้ ก็จะระงับซิมโทรศัพท์
“จากการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หรือศูนย์เอโอซี 1441 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน พบว่ามีการร้องเรียนประมาณ 3,000 สายต่อวัน ยอดความเสียหายต่อวันลดลง 40% ยอมรับว่าต้องบูรณาการทำงานเพื่อยกระดับการช่วยเหลือประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวถึงมาตรการป้องกันระยะยาว ว่ารัฐบาลพัฒนาระบบการป้องกันการโทรศัพท์หลอกหลวง คือระบบจะเสร็จในเวลาอันใกล้ เมื่อระบบเสร็จแล้ว หากใครลงแอปพลิเคชั่นแล้ว จะทราบว่าผู้ใดโทรศัพท์เข้ามา รวมถึงการยืนยันตัวตนให้เข้มข้น ขณะที่ศูนย์เอโอซี 1441 ให้บริการ 24 ชั่วโมง มีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดย 1 เดือน มีข่าวปลอมเป็นล้านข่าว ต้องคัดและลบทิ้ง ดังนั้นแพลตฟอร์มออนไลน์ หากปล่อยให้เกิด ไม่ใช้ระบบป้องกันเพียงพอ ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี