ปชช.ชาวกาญจน์ร่วมใจ 'งดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา'
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA รายงาน ข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) และจากดาวเทียมอีกหลายดวง ประเทศไทยพบจุดความร้อน(Hotspot) ทั้งประเทศ 1,097 จุด จุดความร้อนที่พบส่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 294 จุด ป่าสงวนแห่งชาติ 277 จุด พื้นที่เกษตร 223 จุด พื้นที่เขต สปก. 151 จุด แหล่งชุมชนและอื่น ๆ 135 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง 17 จุด สำหรับพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีพบจุดความร้อนมากที่สุดของประเทศ จำนวน 234 จุด
วันที่ 29 พ.ย.2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปี 2568 โดยเฉพาะการควบคุมไฟป่าใน 14 กลุ่มป่า วันที่ 11 ธ.ค.2567 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการเตรียมความพร้อมรับมือไฟป่า โดยเฉพาะกลุ่มป่าภาคตะวันตก รวมเนื้อที่ 5,338,251.70 ไร่ ซึ่งมีความแห้งแล้งก่อนภาคอื่น โดยมอบหมายให้นายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 ทำหน้าที่หัวหน้าศูนย์บัญชาการประจำกลุ่มป่า ตามนโยบาย “รวดเร็ว ตรงเป้า เข้าถึงพื้นที่ มีประสิทธิภาพสูงสุด”
พื้นที่กลุ่มป่าตะวันตกเป็นพื้นที่กลุ่มป่ารอบเขื่อนศรีนครินทร์ ประกอบด้วย พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าศรีสวัสดิ์ อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติไทรโยค อุทยานแห่งชาติลำคลองงู และอุทยานแห่งชาติเอราวัณ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ ป่าเขาพระฤาษีและป่าเขาบ่อแร่ แปลงที่หนึ่ง ป่าเขาพระฤาษีและป่าเขาบ่อแร่แปลงที่สอง ป่าโรงงานกระดาษไทยแปลงที่หก ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย สถานการณ์ไฟป่า ปี 2567 มีจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ จำนวน 5,260 จุด 968,817.67 ไร่ เป้าหมายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ต้องลดจำนวนจุดความร้อนและพื้นเผาไหม้ให้ได้ไม่น้อยกว่า 25%
สำหรับจำนวนจุดความร้อนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ห้วงเดือน ม.ค.2568 ข้อมูลจากดาวเทียม ซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ระบบ วีอาร์เอส (VIIRS) ตรวจพบจุดความร้อน ((Hotspot) ในพื้นที่ชุมชนและอื่นๆ จำนวน 281 จุด พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 277 จุด พื้นที่เกษตร จำนวน 176 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 169 จุด พื้นที่เขต สปก.จำนวน 120 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง จำนวน 9 จุด รวม 1,032 จุด
ระหว่างวันที่ 1-2 ก.พ.2568 พบในพื้นที่ชุมชนและอื่นๆ รวม 2 วัน จำนวน 66 จุด พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 29 จุด พื้นที่เกษตร จำนวน 14 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 15 จุด พื้นที่เขต สปก.จำนวน 13 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง จำนวน 1 จุด รวม 2 วัน 138 จุด
วันที่ 16 ม.ค.68 นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้ลงนามในประกาศคำสั่งไปยังทั้ง 13 อำเภอ 98 ตำบล 959 หมู่บ้าน และ 206 ชุมชน ห้ามเผาโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มีผลกระทบกับอากาศ และสุขภาพของประชาชน อันมีสาเหตุจากการเผาในพื้นที่ป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ที่สาธารณะ การเผาในพื้นเกษตรกรรม การเผาขยะในพื้นที่ชุมชน/เมือง พื้นที่ริมทางตลอดจนแหล่งกำเนิดมลพิษต่าง ๆ ในภาคอุตสาหกรรม
พร้อมประกาศบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืน ซึ่งจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ได้แก่1. พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 74 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ต่องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่วัตถุใด ๆแม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท
นอกจากประกาศคำสั่งดังกล่าวแล้ว นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ว่าที่ ร.ต. ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ และ 5.นายสิทธิวีร์ วรรณพฤกษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลงพื้นที่พบปะประชาชนทั้ง 13 อำเภอเพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้แบบเคาะประตูบ้าน ตามนโยบาย"หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา"ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนชาวกาญจนบุรี เป็นอย่างดี
โดยเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2568 นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยนายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายฑรัท เหลืองสอาด ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี นายศิริรัตน์ บำรุงเสนา นายอำเภอศรีสวัสดิ์ ร่วมกับนายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง)หัวหน้าศูนย์บัญชาการประจำกลุ่มป่าตะวันตก รวมถึงรองผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนศรีนครินทร์, นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, เจ้าหน้าที่อุทยานฯ, กำนันผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุข
ลงพื้นที่บ้านหม่องกระแทะ หมู่ 5 ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ ในการจัดกิจกรรม Kick off " ห้ามเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา" เคาะประตูบ้าน เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่หยุดเผาป่าและพืชไร่ เพื่อลดปัญหาหมอกควันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ในพื้นที่พร้อมให้ความร่วมมือด้วยการ" งดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา" จากนั้นคณะได้เดินทางไปยังหน่วยพิทักษ์ป่าหม่องกระแทะ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เพื่อมอบเสบียงอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ควบคุมไฟป่าและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน พร้อมทั้งให้ขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่อีกด้วย
นายศิวะปกรณ์ วิเชียรเพริศ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผอ.ทสจ.) จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดกาญจนบุรี ได้รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศที่สถานีตรวจวัด ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ประจำวันที่ 4 ก.พ.2568 ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีค่า 34.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร คุณภาพปากาศปานกลาง
ขอแนะนำให้ เด็ก คนชรา สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวในกลุ่มโรคทางเดินหายใจ และโรคหัวใจและหลอดเลือด หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนประชาชนทั่วไป สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ
ขณะที่ข้อมูลจากดาวเทียม ซูโอมิเอ็นพีพี (Suomi NPP) ระบบ วีอาร์เอส (VIIRS) ตรวจจุดความร้อน ((Hotspot)ย้อนหลังกลับไป 24 ชั่วโมง พบจำนวน 94 จุด ประกอบด้วย ป่าอนุรักษ์ 42 จุด ป่าสงวน 7 จุด เขต สปก.2 จุด พื้นที่เกษตร 13 จุด และอื่นๆ 30 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกัน นายวีระศักดิ์ สุขทอง เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี ได้เป็นประธานการประชุมเกษตรอำเภอ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีเกษตรอำเภอทั้ง 13 อำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม จุดประสงค์ของการประชุมเพื่อสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรในปีงบประมาณ 2568
ในการประชุม นายวีระศักดิ์ สุขทอง เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการเน้นย้ำถึง ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ภาคการเกษตร ลงวันที่ 17 มกราคม 2568 ซึ่งกำหนดมาตรการสำคัญดังนี้
1. ห้ามเผาในพื้นที่การเกษตรทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2568 ถึง 31 พฤษภาคม 2568 2. เกษตรกรที่มีประวัติการเผาในช่วงเวลาดังกล่าว จะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการสนับสนุนหรือช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกโครงการเป็นเวลา 2 ปี (ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 ถึง 31 พฤษภาคม 2570) และ 3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องกำหนดคุณสมบัติของเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการว่า “ต้องไม่เป็นผู้ที่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตรตามประกาศนี้”ซึ่งการเน้นย้ำมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ นายชยุติ โสไกร หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต ได้ประชาสัมพันธ์ ว่า ผมดูแลภาคเกษตร อยู่ในวงประชุมเรื่องนี้บ่อยครั้ง ข้อมูลจากจุด Hot Spot ภาคการเกษตรไม่ใช่ปัญหาหลักของการเกิด PM.2.5 ซึ่งทางหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ก็รณรงค์อย่างต่อเนื่องและเต็มที่ แต่การเผาป่าที่เพิ่มขึ้นมากทุกวันเป็นปัญหาใหญ่ของเมืองกาญจน์ โดย เฉพาะช่วงเดือน ก.พ.- เม.ย.จะเป็นฤดูกาลเผาจริง ที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเหน็ดเหนื่อยกันทุกปี ผมว่าถ้าฝ่ายความมั่นคงมี ที่มีเครื่องตรวจจับความร้อนร่างกายมนุษย์ น่านำมาใช้เพื่อช่วยกระทรวงทรัพย์จับผู้กระทำความผิดในการเผาป่ามาลงโทษทางกฏหมาย น่าจะดี ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะปล่องควันจากโรงงาน การขนส่ง และ การก่อสร้าง ไม่ถูกวัดด้วยจุด Hot Spot จึงไม่ค่อยเห็นมาตรการลด PM2.5 ที่เป็นรูปธรรมมากนัก ผมยกตัวอย่างเช้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่มีพื้นที่การเกษตร แต่ PM.2.5 หนักมากที่สุด ฝุ่น PM2.5 นั้นมาจากไหน นี่คือจุดที่ต้องนำมาพิจารณาการแก้ปัญหาโดยรวมและตรงจุด ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี