รณรงค์งดใช้สินค้าไทย/ขู่ปิดสะพานมิตรภาพ
‘เมียนมา’ปลุกม็อบ!
โวยเดือดร้อนหลังถูกตัดไฟ/น้ำมัน
แต่มีผู้ชุมนุมที่เมียวดีไม่ถึง20คน
ทหาร-ตำรวจตากส่งกำลังคุมเข้ม
จับพ่อค้าแอบส่งน้ำมันข้ามแดน
ชาวเมียนมาในจังหวัดเมียวดี ปลุกม็อบตอบโต้รัฐบาลไทย ที่ใช้มาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย-เมียนมา ทำให้ชาวเมียนมาได้รับผลกระทบ โดยได้เรียกร้องให้ปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา-ท่าข้าม และรณรงค์อย่าใช้สินค้าไทย ส่วนที่ “ท่าขี้เหล็ก” ชายแดนแม่สายยังไร้การประท้วง สส.รังสิมันต์ โรม ฉะหม่องชิตตู ตัวการใหญ่
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวหลังจากที่รัฐบาลไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้หยุดส่งกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมาตามมติของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ทำให้มีประชาชนชาวเมียนมา เริ่มได้รับผลกระทบว่า ที่จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้ามบ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด กลุ่มแกนนำสมัชชาชาวเมียวดีนำโดย นายตู่เหร่ง มินทุน (Thurein Min Htun) ประธานสมัชชาประชาชนเมียวดี จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้ามบ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก กำลังเตรียมเดินขบวน และชุมนุมแสดงความคิดเห็นของประชาชนในเวลา 09.30 น. ตามเวลาของประเทศไทย หรือเวลาของฝั่งเมียนมา 09.00 น.
นัดรวมตัวตอบโต้รัฐบาลไทย
โดยชาวเมียนมาในจ.เมียวดีจะไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะส่วยเมียะสั่นดี่ เขต อ.เมือง อย่างสันติ และร่วมกันเข้าแถวเพื่อเดินไปตามเส้นทางสายหลัก และชุมนุมกันที่บริเวณสะพาน มิตรภาพไทย เมียนมา แห่งที่ 1 ตรงข้ามบ้านริมเมยฝั่งไทย และสะพานมิตรภาพไทย เมียนมาแห่งที่ 2 ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ที่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด ทั้งนี้เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทยที่ตัดกระแสไฟฟ้า และห้ามไม่ให้ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปมานานเป็นเวลา 4 วันแล้ว ทำให้ประชาชนในเมียนมาได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
การชุมนุมครั้ง แกนนำจะยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่เมียนมาเช่น ผวจ.เมียวดี ผู้นำทหารเมียนมา ผู้นำกองกำลังกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ.หรือ กองกำลังพิทักษ์ประชาชน เพื่อขอให้ระงับการนำเข้าสินค้าไทยทุกประเภท รวมทั้งการปิดช่องทางท่าขนส่งสินค้าต่างๆทั้งหมด 59 จุด ในพื้นที่ 5 อำเภอชายแดน ของจ.ตาก และด่านพรมแดนทางบกถาวรแม่สอด เมียวดี หรือช่องทางสะพานมิตรภาพทั้ง 2 แห่ง
เดือดร้อนหนัก-ขู่ปิดชายแดน
นายตู่เหร่ง มินทุน กล่าวผ่านล่ามแปลภาษาไทยว่า ชาวเมียนมาไม่ต้องการที่จะแสดงออกแบบนี้ แต่การแสดงออกเป็นความจำเป็นแสดงถึงความเดือดร้อน ที่เกิดกับประชาชนชาวเมียนมาอย่างแท้จริง การงดจ่ายกระแสไฟฟ้า และห้ามระงับการส่งน้ำเชื้อเพลิงทำให้ชาวเมียนมาเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลขาดอ๊อกซิเจน หากรัฐบาลไทยผ่อนปรนให้ก็จะยุติการรณรงค์ให้ปิดชายแดน และเปิดให้สินค้าไทยเข้ามาตามปกติ เพราะไทยกับเมียนมา มีการค้าชายแดนทั้งนำเข้า และส่งออกมานาน หากทางไทยไม่ยุติ หรือผ่อนปรนก็จะให้ปิดชายแดนทุกช่องทาง รวมทั้งช่องทางบกถาวรสะพานมิตรภาพไทย เมียนมา แห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 ด้วย
ราคาน้ำมันพุ่ง-จ่อภาวะขาดแคลน
พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพันบีจีเอฟ. ( กองกำลังพิทักษ์ชายแดน) ประจังหวัดจำเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมาตรงข้าม อ.แม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า การตัดกระแสไฟฟ้า และการห้ามน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปประเทศเมียนมา ของทางรัฐบาลไทย ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวเมียนมาอย่างรุนแรง ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในเมียนมาขึ้นราคา และกำลังจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันอีกไม่นานนี้ เช่นเดียวกับทางโรงพยาบาลเมียวดี ที่เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุด และมีผู้ป่วยมากที่สุดไม่มีไฟฟ้าใช้ และกำลังขาดออกซิเจนที่ให้กับผู้ป่วยที่ติดขัดระบบการหายใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป คนหาเช้ากินค่ำ คนทำธุรกิจเล็กๆ น้อย
ทั้งนี้ ทหารกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ที่มีกองกำลังมากที่สุดในเมียวดี ได้จัดรถยนต์ และทหารเดินทางตามถนน เพื่อดูแลด้านการรักษาความปลอดภัย
เรียกร้องปิดสะพานการค้าไทย-เมียนมา
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวบริเวณชายแดนไทยเมียนมา พื้นที่ จ.ตาก ว่า กลุ่มประชาชนชาวเมียนมา และผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดกระแสไฟฟ้าและการงดส่งน้ำมัน ได้รวมตัวกันที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และ แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมา ประสานงานกับรัฐบาลไทย ให้ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการตัดไฟฟ้า และการงดส่งน้ำมัน
โดยเวลา 10.00 น. นายอูตู่เหร่งมินทุน อายุ 44 ปี และ นายอูจ่อจ่อ อายุ 45 ปี แกนนำจัดชุมนุมเดินขบวนแสดงความคิดเห็นอย่างสันติของประชาชนในตัวเมืองเมียวดี โดยได้ไปรวมตัวกันที่ สวนสาธารณะส่วยเมียะสั่นดี่ หมู่ 4 เมืองเมียวดี และเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทางสะพานมิตรภาพไทย เมียนมาแห่งที่ 1 โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวน 30-40 คน ต่างตะโกนว่า “จงปิดสะพานการค้าชายแดนไทย-เมียนมา 1 และ 2” และ “จงปิดท่าต่างๆ ผิดกฎหมายพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา จงอย่าใช้สินค้าไทย” ทั้งนี้ สถานการณ์การชุมนุมฝนพื้นสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่ง ที่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมี นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู เจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาร่วมสังเกตการณ์
“ท่าขี้เหล็ก”ชายแดนแม่สายไร้ประท้วง
สำหรับสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้าน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบว่า ไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลชนแต่อย่างใด แต่กลับมาเป็นคาราวานรถยนต์และจักรยานยนต์จาก จ.ท่าขี้เหล็ก พากันทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือบอเดอร์พาสและนำรถที่มีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 มายังฝั่งไทยอย่างล้นหลาม เพื่อหวังจะไปเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานีเติมน้ำมันหรือปั๊มต่างๆ ในฝั่ง อ.แม่สาย ทำให้มีรถติดอย่างน้อย 1-2 กิโลเมตร
การทะลักเข้ามาของรถยนต์และจักรยานยนต์จาก จ.ท่าขี้เหล็ก ดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากข่าวลือว่าอาจจะมีการปิดด่านพรมแดนระหว่างไทย-เมียนมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งแม้จะไม่มีกระแสหรือมูลความจริงแต่ก็ทำให้ผู้คนเกิดภาวะตื่นกลัวและพากันมาเติมน้ำมันเชื้อเพลิงในฝั่งไทยดังกล่าวและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการงดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปจำหน่ายให้กับประเทศเมียนมาผ่านทาง อ.แม่สาย, อ.แม่สอด และบ้านเจดียห์สามองค์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ทำให้คลังน้ำมันสำรองใน จ.ท่าขี้เหล็ก เริ่มลดลงไปเรื่อยๆ
ความต้องการน้ำมันพุ่งสูง
นอกจากนี้ ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านยังมีรถยนต์และจักรยานยนต์ที่ไม่มีทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งไม่สามารถข้ามด่านพรมแดนมายังฝั่งไทยได้ ทำให้ยิ่งมีความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาณที่สูงขึ้น ท่ามกลางการเข้มงวดของปั๊มน้ำมันต่างๆ ที่ไม่อนุญาตให้ซื้อบรรจุถังนอกรถเพื่อนำกลับประเทศเมียนมา
ด้านรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงของเอกชนหลายรายพากันไปจอดตามจุดพักรถพื้นที่ชายแดน อ.แม่สาย หลายสิบคัน บางคันเดินทางมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา และไม่สามารถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงกลับไปได้ จึงต้องจอดรอจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องมาตรการของรัฐบาลและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยพากันไปจอดตรงหน้าด่านพรมแดนตรงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 และที่จุดพักรถของกรมทางหลวงบนถนนพหลโยธิน ต.โป่งผา อ.แม่สาย เป็นจำนวนมาก
จับลักลอบส่งน้ำมันขายชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลางดึกที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ร่วมกับ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พบพระ และฝ่ายปกครอง ปฏิบัติภารกิจตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ร่วม 3 ฝ่าย บริเวณจุดตรวจ ชรบ.บ้านช่องแคบ ม.1 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำความผิดกฎหมาย โดยระหว่างตั้งจุดตรวจนั้นได้ตรวจพบรถยนต์กระบะสีเทา ทะเบียนตาก บรรทุกถังสีน้ำเงินขนาด 30 ลิตร ภายในบรรจุน้ำมันดีเซล จำนวน 20 ถัง รวมทั้งหมด 600 ลิตร มีนายจิณณะ เป็นผู้ขับขี่ และมีนางพอแอ้เจ (บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน) นั่งมากับรถยนต์คันดังกล่าว
จากการสอบถาม ทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพว่า ได้เดินทางไปซื้อน้ำมันที่ ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก จำนวน 600 ลิตร ราคา 19,728 บาท เพื่อนำไปส่งขายในฝั่งประเทศเมียนมา ทางชุดตรวจร่วมจึงได้ทำการตรวจยึดถังน้ำมันดีเซล จำนวน 20 ถัง เพื่อตรวจสอบ และหากเข้าข่ายกระทำความผิด ต้องดำเนินการตามกฏหมายต่อไป
“อนุทิน”เผยไทย-จีนพูดคุยชื่นมื่น
ที่เมืองฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยกล่าวถึงการเดินทางร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ.ว่าสาระของการหารือกับจีนเป็นเรื่องที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย มีหลายเรื่องที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำเสนอ และมีหลายเรื่องที่จีนขอความร่วมมือ ซึ่งต่างฝ่ายต่างให้ความร่วมมือ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีโดยเฉพาะการร่วมวงรับประทานอาหาร ที่นายกรัฐมนตรีได้รับความสนใจจากผู้นำนานาชาติ การพูดคุยเริ่มจากเป็นทางการจนสุดท้ายเป็นบรรยากาศที่ฉันมิตร หลายเรื่องท่านหารือผู้นำจีนบนโต๊ะอาหาร จึงไม่ใช่บรรยากาศที่ตึงเครียดเหมือนบนโต๊ะเจรจา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี
จีนชื่นชมไทยตัดไฟแก๊งคอลฯ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางจีนได้ชื่นชมเป็นอย่างมาก กรณีที่รัฐบาลไทยตัดไฟ 5 จุดชายแดนไทย-เมียนมาเกี่ยวกับความเด็ดขาดและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และส่วนตัวในฐานะผู้ปฏิบัติทุกอย่างเป็นไปเรียบร้อยดี เนื่องจากเป็นเรื่องนโยบายที่มอบมา เราก็ตอบสนองโดยทันที ส่วนเมื่อตัดไฟแล้วเมียนมาไปซื้อไฟจากลาวนั้น ก็เป็นเรื่องกิจการภายในของเขา แต่เราปกป้องพิทักษ์ ผลประโยชน์ของคนไทย และประเทศไทยหากเราสามารถปกป้องคนไทยได้แล้ว อะไรที่จะเกิดขึ้นในประเทศของเขา ก็เป็นเรื่องของเขาเราไม่เกี่ยวข้อง
“สภาวะผู้นำของนายกฯ มีทั้งการโต้ตอบ มีจังหวะรุก จังหวะถอยรับ เพราะได้ทำการบ้านมาซึ่งนายกฯ ได้เล่าให้ฟังเสมอว่า ตอนกลางคืนเตรียมตัวอย่างดี หากถูกสอบถามแบบนี้จะตอบอย่างไร ทำให้มั่นใจขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวเห็นว่านายกฯ ทำได้ดี ซึ่งต้องชื่นชม ในฐานะที่ผมมีอาวุโสมากกว่า” นายอนุทิน กล่าว
“โรม”ตามอัดหม่องชิตตู
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม” ว่า ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.อ. หม่องชิตตู ผู้นำกองกำลัง BGF/KNA กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดีอยู่ในขณะนี้
หม่องชิตตู คนนี้ถูกแซงชั่นหรือคว่ำบาตรจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส หรืออียู เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่สำคัญ คือเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของ เสอจื้อเจียง เจ้าของชเวก๊กโกซึ่งถูกจับในประเทศไทย
ที่ผ่านมากองกำลัง BGF พยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องคนตนเองกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด แต่จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากองกำลัง BGF เป็นผู้ให้เช่าต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกมากมายมหาศาล และการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างรุนแรง
แม้ว่ากองกำลัง BGF จะออกมาให้ข่าวเป็นระยะว่าจะดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพวกนี้ได้ใช้ทรัพยากรหลายอย่างของประเทศไทย
กองกำลัง BGF ได้ใช้ประชาชนของตัวเองเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกันก็สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองบนความเสียหายของหลายๆครอบครัวทั่วโลก นี่คือความเลวร้ายอย่างถึงที่สุดของกองกำลัง BGF
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี