10 ก.พ. 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมพบปะพูดคุยกับกลุ่มแรงงานนอกระบบหลากหลายอาชีพ ในงาน “สมัชชาแรงงานนอกระบบ ประจำปี 2568” จัดโดยสมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่นิยมใช้คำว่าแรงงานนอกระบบ และทางกฤษฎีกาเองก็พยายามจะให้ใช้คำว่าแรงงานอิสระ ซึ่งในทางสากลก็เปลี่ยนไปใช้คำดังกล่าวแล้วเช่นกัน โดยแรงงานกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนรับงานไปทำที่บ้าน ไรเดอร์ ซึ่งตนก็ไม่อยากใช้คำว่าไรเดอร์อีก เพราะเป็นชื่อของบริษัทเขา อยากใช้คำว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่ว่าจะส่งอาหารหรือส่งคนก็ตาม อยากให้ทำความเข้าใจของคำที่ตรงกันก่อนเพื่อให้ครอบคลุม
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานทำงานร่วมกับอีกหลายกระทรวง สสส. รวมถึงภาคเอกชน แต่หน่วยงานที่ทำงานแล้วมีความสัมพันธ์อย่างมาก คือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรืออย่างประกันสังคมมาตรา 40 ก็จะเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข เพราะสิทธิตาม ม.40 ไม่ครอบคลุมการรักษาพยาบาล แต่ก็มีเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย เช่น การให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าประกันสังคมมาตรา 33
“สมมติคนใช้ภายในบ้าน คือผู้รับใช้ภายในบ้าน ถามว่าเราจะเข้าไปในบ้านเขาได้อย่างไร? เป็นบ้านเดี่ยวอยู่ภายในหมู่บ้าน ซึ่งพวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไป มันก็ต้องทำความเจ้าใจกับเจ้าของบ้านหรือนายจ้าง ว่าถ้าจะเอาลูกจ้างบ้านคุณที่คุณจ้างมา 1 คน 2 คน 3 คน 4 คน หรือ 5 คน จะเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ได้ไหม? ซึ่งตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็หารือ โดยเฉพาะคนบ้านเดี่ยว ยิ่งหลังใหญ่เท่าไหร่ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เสียเยอะ การเข้าไปก็ไม่รู้จะไปถึงรั้วบ้านหรือเปล่า? ดีไม่ดีจะมีเพื่อนๆ 4 เท้าวิ่งออกมาหาเราก่อน อันนั้นสงสัยคงต้องวิ่งหนีกันพอสมควร แต่อะไรก็แล้วแต่เมื่อมีจุดเริ่มต้น มันก็ต้องมีจุดที่สรุปให้จนได้” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าปัจจุบันเข้าใจมากขึ้น เพราะในอดีตเมื่อลูกจ้างที่บ้านเจ็บป่วย จะเข้าไปสู่สถานพยาบาลนั้นไม่ง่าย ต้องนำหลักฐานต่างๆ ไปแสดงให้โรงพยาบาลดู กรณีเป็นแรงงานต่างด้าวต้องเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย นายจ้างที่มาส่งกับนายจ้างตามที่แจ้งรับลูกจ้างคนดังกล่าวทำงานต้องตรงกัน แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำแบบเดียวกับสถานประกอบการโดยทั่วไป คือลูกจ้างกับนายจ้างส่งเงินสมทบฝ่ายละร้อยละ 5 ขณะที่รัฐสมทบอีกร้อยละ 2.5
อีกกลุ่มหนึ่งที่ตนกังวลคือแรงงานในภาคเกษตร โดยหากเป็นแรงงานตามฤดูกาล ทำ 3-4 เดือนแล้วกลับบ้าน นายจ้างจ่ายสมทบตาม ม.33 ไม่ได้ แต่หากเป็นแรงงานที่อยู่ประจำทั้งปี แบบนี้จะเข้า ม.33 ได้ หรืออย่างแรงงานประมงก็เข้า ม.33 ได้ เพราะส่วนมากจ้างกันเป็นปี ทั้งนี้ แนวคิดเรื่องการนำลูกจ้างทำงานบ้าน แรงงานในภาคเกษตร รวมถึงอีกกลุ่มคือลูกจ้างในกิจการหาบเร่แผงลอยเข้าประกันสังคม ม.33 น่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงปลายปี 2568 และน่าจะประกาศใช้ได้ทันวันที่ 1 ม.ค. 2569
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน - Social Security Office” ซึ่งเป็นเพจทางการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ระบุว่า
ประกันสังคมเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น ขยายความคุ้มครองผู้ประกันตน ม.33 ครอบคลุมเพิ่มอีก 3 กลุ่มอาชีพ
สำนักงานประกันสังคม เปิดรับฟังความคิดเห็น “การขยายความคุ้มครองให้แก่นายจ้างและลูกจ้างที่ไม่อยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม” ตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดกิจการหรือลูกจ้างอื่นที่ไม่อยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม พ.ศ. 2560 กำหนดลูกจ้างที่ไม่อยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม เพื่อสร้างหลักประกันทางสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน 3 กลุ่มอาชีพ
นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ เกี่ยวกับการขยายความคุ้มครองให้กับ 3 กลุ่มอาชีพ ได้เข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 33 ได้แก่
1) กลุ่มลูกจ้างในกิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์
2) กลุ่มลูกจ้างในครัวเรือนในฐานะที่เป็นนายจ้างส่วนบุคคลเช่น แม่บ้าน ผู้ประกอบอาหาร คนรับใช้ส่วนตัวหัวหน้าผู้รับใช้ คนซักรีด คนสวน คนเฝ้าประตู ผู้ดูแลสัตว์เลี้ยง คนขับรถ คนเฝ้าบ้าน
3) กลุ่มลูกจ้างในกิจการค้าแผงลอยที่มีที่ตั้ง มีเลขที่แผงชัดเจน และมีการทำสัญญาเช่า เช่น สัญญาเช่าแผงกับตลาด สัญญาเช่าแผงกับศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ลูกจ้างทั้ง 3 กลุ่มอาชีพที่ได้รับขยายความคุ้มครอง จะสามารถเข้าถึงสิทธิประกันสังคม เป็นการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการรักษาหากเจ็บป่วย รวมถึงมีสิทธิได้รับเงินชดเชยกรณีต่างๆ เช่น เงินค่าคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร เงินบำนาญชราภาพ เงินว่างงาน เงินทดแทนทุพพลภาพ และเงินกรณีตาย เป็นต้น ด้านนายจ้างนอกจากจะลดความกังวลในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยแล้ว ยังเป็นการสะท้อนถึงการดูแล และความรับผิดชอบของนายจ้างต่อลูกจ้างอีกด้วย
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.facebook.com/photo?fbid=937522688553895&set=a.243317304641107&locale=th_TH
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/859997 ‘เข้าม.33ประกันสังคม-ตั้งสหภาพ’ แก้กฎหมายให้สิทธิ์‘ลูกจ้างทำงานบ้าน’เกิดไม่ง่าย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี