‘สปสช.’ขอบคุณ‘มหาดไทย’รับ3ข้อเสนอ เร่งแก้ปัญหาคนไร้สถานะทะเบียนตามมติครม.
11 ก.พ. 2568 รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา คณะทำงานพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน โดยมีนายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน เป็นประธาน พร้อมด้วยองค์กรภาคีความร่วมมือ 9 หน่วยงาน
อาทิ นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย ทพญ.จุฑารัตน์ จินตกานนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ น.ส.วรรณา แก้วชาติ เครือข่ายภาคประชาชน มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.)
ได้เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอหารือข้อเสนอการดำเนินงานแก้ปัญหากลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 โดยรายละเอียดของมติ ครม. ดังกล่าว ได้อนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร โดยให้มีการปรับขั้นตอนและระยะเวลาใหม่ เพื่อเร่งรัดกระบวนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดผลโดยเร็วตามมติ ครม. 29 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมาคณะทำงานฯ จึงได้ร่วมหารือเพื่อทบทวนประเด็นปัญหาต่างๆ และมีข้อเสนอต่อ มท. ดังนี้
1.กลุ่มบุคคลไร้สัญชาติชนกลุ่มน้อย 19 กลุ่ม ที่ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติมีบัตรประจำตัวจำนวน 483,626 คน ในการดำเนินการต้องไม่ใช้เงื่อนไขการรายงานตัวหรือการย้ายถิ่นที่อยู่ มาเป็นเงื่อนไขการให้สิทธิตามมติ ครม. โดยให้มารายงาน ณ ถิ่นที่อยู่ปัจจุบันกับสำนักทะเบียนอำเภอ/ท้องถิ่น และในกรณีของกลุ่มบุคคลที่ออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาตและอาจมีความผิดนั้น ขอให้ยกเว้นโทษทางกฎหมายและสามารถใช้สิทธิตามมติ ครม. นี้ได้
2.ขอให้ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน เข้ามีส่วนร่วมในคณะทำงาน เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ สำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติ ตามมติ ครม. และสร้างแนวทางการค้นหา ประชาสัมพันธ์ ร่วมกับเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการร่วมติดตามความสำเร็จในการปฏิบัติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นอกจากนี้ให้ มท. เร่งรัดจัดทำประกาศ/แนวทางปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของมติ ครม. อาทิ การรับรองตนเอง โดยไม่มีการเรียกเอกสารหรือพยานบุคคลใดๆ เพิ่มเติม เป็นต้น
และ 3.ขอให้พิจารณาสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติกลุ่มเป้าหมายที่ตกหล่นเพิ่มเติม ได้แก่ เครือญาติของกลุ่มเป้าหมายตามมติ ครม. และให้บุตรของกลุ่มเป้าหมายตามมติ ครม. ที่เกิดในประเทศไทย ที่ยังไม่ได้รับการแจ้งเกิดให้ได้รับสิทธิตามมติ ครม. นี้ด้วย
ซึ่งจากการประชุมร่วมกัน ปลัด มท. ยินดีที่จะดำเนินการตามมติ ครม. ข้างต้นนี้ รวมถึงขอหารือต่อเนื่อง โดยพร้อมดำเนินการเพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้รับสถานะและการคุ้มครองสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน และพร้อมตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนขึ้นโดยให้ภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน ส่วนกรณีที่เป็นเครือญาติและบุตรหลานของกลุ่มเป้าหมายตามมติ ครม. ขอให้เป็นการดำเนินการภายหลังจากนี้ นอกจากนี้ทาง มท. จะมีการซักซ้อมความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่สำนักงานทะเบียนท้องถิ่น เพื่อดำเนินการตามมติ ครม. ในการดูแลกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน
“ต้องขอขอบคุณทั้งท่าน รมว.มท. และท่านปลัด มท. ที่ให้ความสำคัญในการกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนเหล่านี้ เพื่อให้ได้รับการดูแลและคุ้มครองสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท ซึ่งที่ผ่านมามีจำนวนหนึ่งที่มีภาวะเจ็บป่วยแต่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ เพราะด้วยไม่ได้รับการรับรองความเป็นคนไทย ทำให้ไม่มีหลักประกันสุขภาพคุ้มครอง โดยหลังจากนี้ด้วยความร่วมมือของคณะทำงานที่ มท. เตรียมจัดตั้งขึ้น จะทำให้สามารถดำเนินการสำเร็จตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 ได้” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/840274 ‘กสม.’ชื่นชมรัฐบาลเอาจริงออกมติครม.แก้ปัญหา‘คนไร้รัฐ’ แต่ห่วงปัญหาทุจริตทะเบียนราษฎร์
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี