14 ก.พ. 2568 ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ อาคารองค์การสหประชาชาติ (UN) กรุงเทพฯ มีการจัดประชุม SAMVAD ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์กร Vivekananda International Foundation India (VIF) สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980, ศูนย์อินเดียศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, International Buddhist Confederation (BC), Japan Foundation-Japan (TBC)
ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ก่อตั้งมาแล้ว 18 ปี โดยทำงานด้วยความฝันว่า อยากเห็นแผ่นดินนี้เป็นเหมือนกับที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่า “สุวรรณภูมิ” แต่สุวรรณภูมิจะเป็นแผ่นดินทองไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมะ แม้แผ่นดินจะมั่งคั่งอย่างไรแต่หากคนไม่มีธรรมก็ไม่ใช่แผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ วันนี้จึงฝันอยากเห็นชาวลุ่มน้ำโขงที่เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน เพราะร้อยละ 80 – 90 ของคนลุ่มน้ำโขง ทั้งไทย กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท จึงอยากให้คนรุ่นใหม่มีแนวคิดแบบนี้
เพราะโลกยุคใหม่อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน อยู่บนพื้นฐานของการเอาเงินและอำนาจเป็นสรณะหรือที่ตั้งของชีวิต จริงอยู่เราไม่ปฏิเสธความมั่งคั่งเพราะเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน เป็นธรรมชาติของชีวิต แต่สิ่งที่เห็นคือคนมีเงินมีอำนาจกลับหลงไปกับความโลภหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่อำนาจที่มีหรือเงินแม้แต่บาทเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้เมื่อตายไปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกก็มาจากคนมีอำนาจและมีเงิน คนมีเงินก็ใช้เงินแสวงหาอำนาจ ส่วนคนมีอำนาจก็ใช้อำนาจแสวงหาเงิน สภาวะแบบนี้ทำให้โลกไม่ปกติ
“มนุษย์มีความเป็นปกติคือไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น แต่วันนี้เราไม่ไดสนใจคนอื่นเลย แสวงหามาซึ่งสิ่งที่เอาไปไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราก็จะอยากจะกลับมาใช้ความเชื่อในอดีตกาล ซึ่งเราใช้หลักธรรมนี้ขึ้นมา ง่ายๆ ก็คือการใช้สีลา คือไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน แต่มันไม่ได้เป็นเครื่องบอกว่าเรามีปัญญา เราอาจทำผิดพลาดได้” ดร.สุภชัย กล่าว
ดร.สุภชัย กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือชีวิตของเราประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน – น้ำ - ลม – ไฟ และไม่ว่าคนรวยคือคนจน สุดท้ายทุกคนล้วนต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ขณะที่อารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าหลง โกรธ โลภ อิจฉาริษยา ฯลฯ ทุกอย่างมีเกิดและดับ ไม่มีใครหัวเราะหรือเสียใจจนตาย นี่คือสัจจะหรือความจริง ซึ่งตนเห็นว่าหากถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ให้กับคนรุ่นใหม่ หรือแม้แต่ผู้นำที่วันนี้เป็นปัจฉิมวัย ซึ่งตนเชื่อว่าลึกๆ ทุกคนเข้าใจตรงนี้อยู่ เพียงแต่อาจละเลยเพราะหลงอยู่กับโลกของคอนกรีตและการแสวงหา
จึงนำมาซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ โดยมีการพูดคุยกับหลายหน่วยงาน หารือกัน 1 – 2 ปี มองว่าเราต้องกลับมารวมตัวกันให้ได้ เอาความเชื่อโบราณที่เราเป็นพี่น้องกัน ไม่มีสงคราม อีกทั้งหากย้อนไปราว 2,000 ปีก่อน ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางรวมระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก อยู่ในแผนที่ปโตเลมี ดังนั้นเราจะนำสิ่งที่เคยทำสำเร็จในอดีต ในฐานะจุดเชื่อมของทั้งกรีก โรมัน เปอร์เซีย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เราจะนำกลับมาเพื่อให้คนไทยได้ภูมิใจว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วบรรพบุรุษของเราทำได้ วันนี้เราก็ต้องทำได้
“เราคงไม่ได้ทำงานแค่แผ่นดินไทยเท่านั้น แต่เราทำงานให้กับญาติธรรม ให้กับญาติของเรารอบบ้าน เพราะในอดีตเราก็ยังไม่มีแผ่นดินไทย เมื่อ 800 ปีที่แล้ว เราอยู่กันอย่างเข้าใจเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่วันนี้เราเริ่มมีประเทศกัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ก็อึดอัดเพราะเดินทางทั้ง 5 แผ่นดินมา 37 ปีเต็ม เห็นเด็กรุ่นใหม่มาทะเลาะกัน มวยนี่เป็นกุนขแมร์ของเขมร นี่เป็นมวยไทยของไทย สงกรานต์เป็นของคนโน้นคนนี้ จริงๆ มันเป็นวัฒนธรรมซึ่งเราร่วมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มันไม่ได้เป็นของใคร ฉะนั้นอันนี้คืออัตตา แต่พุทธศาสนาสอนเราเรื่องอนัตตา” ดร.สุภชัย ระบุ
ดร.สุภชัย ยังกล่าวอีกว่า ตนอยากถ่ายทอดความเชื่อตรงนี้ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจ เพื่อที่จะปกป้องโลกของเราและมนุษยชาติโดยใช้มนุษยธรรม อีกทั้งต้องดูแลสรรพสัตว์ด้วย อย่างตนถูกสอนมาว่าเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด – แก่ – เจ็บ – ตาย ทั้งมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานและต้นไม้ต่างๆ จึงตรงประเด็นกับการประชุม SAMVAD กล่าวคือ ความขัดแย้งกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราก็เห็นเรื่องฝุ่น PM2.5 ต่างๆ อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป นั่นคือเป้าหมาย
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุม SAMVAD ในครั้งนี้ มีเป้าหมายอยู่ 2 ประเด็นที่สำคัญ คือ 1.การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง (Conflict Avoidance) ที่จะเกิดขึ้นในโลก กับ 2.ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Consciousness) เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาคมโลกได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“ทุกท่านคงทราบดี หลังจากที่โลกทั้งใบตกอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ มีการแบ่งข้างกัน ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันมากยิ่งขึ้น มีการแบ่งแยกกันมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” รมว.ต่างประเทศ กล่าว
นายมาริษ กล่าวต่อไปว่า การประชุม SAMVAD ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ริเริ่มโดย 2 สถาบัน และมีหลายหน่วยงานร่วมสนับสนุน ซึ่งรวมถึงสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย จึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่ผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ตลอดจนผู้ที่ยึดมั่นใจหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ความสำคัญกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา ที่จะนำไปสู่การปรองดอง ละเว้นการขัดแย้งระหว่างกัน รวมทั้งสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สำหรับการประชุม SAMVAD ครั้งที่ 4 เป็นการรวมตัวกันของผู้นำศาสนิกชนจากทั้งศาสนาพุทธ ฮินดูและอื่นๆ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 17 ก.พ. 2568 โดยในวันที่ 14 ก.พ. 2568 จัดที่ศูนย์ประชุม UN กรุงเทพฯ กิจกรรมในช่วงเช้า มีการกล่าวสัมโมทนียกถา โดย พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 11 และ พระธรรมโพธิวงศ์ ประธานคณะธรรมทูตไทยในอินเดียและเนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา เมืองพุทธคยา และเวทีอภิปรายระดับรัฐมนตรี ขณะที่ในช่วงบ่าย จะเป็นเวทีโต๊ะกลมของผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณ และการประชุมเชิงวิชาการเรื่องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม
จากนั้นวันที่ 15 ก.พ. 2568 จัดที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่ 16 – 17 ก.พ. 2568 จัดที่โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จ.กระบี่ ทั้งนี้ การประชุม SAMVAD 3 ครั้งก่อนหน้า ครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2558 ที่อินเดีย ครั้งที่ 2 ที่เมียนมา ในปี 2560 และครั้งที่ 3 ในปี 2562 ที่มองโกเลีย กระทั่งล่าสุดคือครั้งที่ 4 ในปี 2568 ณ ประเทศไทย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี