กรมควบคุมมลพิษ แจ้ง 53 จังหวัด ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ส่วนกทม.เกินค่า62 พื้นที่ แนะประชาชนลดกิจกรรมกลางแจ้ง สวนดุสิตโพล เผยมาตรการรัฐไร้ประสิทธิภาพ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ล้มเหลว
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ สรุปดังนี้ ภาพรวมปริมาณฝุ่นPM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 53 จังหวัด ประกอบด้วย ปทุมธานี, กทม. , นนทบุรี, นครปฐม, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ, เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, พิษณุโลก, ตาก, กำแพงเพชร, พิจิตร, เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, สระบุรี, อ่างทอง,พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, ตราด, หนองคาย, เลย, อุดรธานี, นครพนม, หนองบัวลำภู, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ชัยภูมิ, ยโสธร, อุบลราชธานี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และสุรินทร์
ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 30.5 – 98.8 ไมโครกรัม (มคก.)/ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 30.8 – 59.9 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 21.4 – 63.9 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐาน 7 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 20.3 – 60.0 มคก./ลบ.ม.ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 11.3 – 23.5 มคก./ลบ.ม.และ กทม.และปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ.ร่วมกับ กทม.เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 30.6 – 63.8 มคก./ลบ.ม.
คำแนะนำทางสุขภาพ ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ขณะที่ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ถ้ามีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์สำหรับประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (พื้นที่สีแดง) ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์
ส่วนกรุงเทพมหานครรายงานสรุปผลการตรวจวัดฝุ่นPM2.5 ในพื้นที่กทม.โดยตรวจวัดได้ 34.2 - 63.8มคก./ลบ.ม.ค่าเฉลี่ยของ กทม.อยู่ที่ 42.8มคก./ลบ.ม.ค่าฝุ่นPM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเกินมาตรฐาน(มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ รวม 62 พื้นที่อาทิ 1.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก มีค่าเท่ากับ 63.8 มคก./ลบ.ม.2.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม มีค่าเท่ากับ 55.7 มคก./ลบ.ม.3.สวนหนองจอก เขตหนองจอก มีค่าเท่ากับ 54.2 มคก./ลบ.ม.4.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน มีค่าเท่ากับ 51.7 มคก./ลบ.ม.5.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา มีค่าเท่ากับ 50.8 มคก./ลบ.ม.เป็นต้น
คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยาช่วงวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ 2568 การระบายอากาศส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ “ดี” ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นมีลักษณะเปิดสลับปิด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง
สำหรับการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่ กทม.
ขณะเดียวกัน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ค่าฝุ่น PM 2.5 กับคนไทย” กลุ่มตัวอย่าง 1,255 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2568 สรุปผลดังนี้ 1.ประชาชนคิดว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ณ วันนี้ รุนแรงหรือไม่ อันดับ 1 รุนแรง 88.61% อันดับ 2 ไม่รุนแรง 11.39% 2.ตั้งแต่ปี2562 ที่เริ่มมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 จนถึงปัจจุบันประชาชนต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง อันดับ1มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ซื้อหน้ากาก ซื้อยา ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ 71.16% อันดับ2 สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน 68.29% อันดับ 3 ลดกิจกรรมกลางแจ้ง/ออกกำลังกายนอกบ้าน 58.17%
3.ประชาชนคิดว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาลมีประสิทธิภาพเพียงใด อันดับ1ไม่มีประสิทธิภาพ 73.39% อันดับ2 มีประสิทธิภาพ26.61% 4.ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควรมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างไรบ้าง อันดับ1 ควบคุมการเผาที่ทำให้เกิดมลพิษอย่างเข้มงวด82.46% อันดับ2 เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด แก้ไขปัญหาระยะยาว 54.47% อันดับ3 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 53.91% 5.ใคร/หน่วยงานใดควรเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อันดับ1 กรมควบคุมมลพิษ 75.82% อันดับ2 นายกรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาล63.13% อันดับ 3 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 57.46%
6.ประชาชนคิดว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จหรือไม่อันดับ 1 ยากที่จะแก้ไขได้ มาจากหลายสาเหตุ เป็นปัญหาที่วนกลับมาซ้ำ 62.95%อันดับ 2 มีโอกาสแก้ไขได้ แต่ต้องมีมาตรการจริงจัง ร่วมกันทุกฝ่าย 32.27%อันดับ 3 ไม่มีทางแก้ไขได้สำเร็จ เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก 4.78%
น.ส.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนผ่านผลโพลที่ทำมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน แม้ทุกฝ่ายจะตระหนักถึงสาเหตุหลักของมลพิษ แต่การแก้ไขกลับยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลค่าฝุ่นรายวัน แต่เป็นมาตรการที่เข้มข้นและบังคับใช้จริงจังและทันที ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่านอกจากคุณภาพอากาศที่แย่ลงแล้ว ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลก็อาจถดถอยตามไปด้วย
ขณะที่ ผศ.ดร.สมศักดิ์ เจริญพูลหัวหน้าศูนย์พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการด้านกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อธิบายว่า ฝุ่นPM2.5 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคนไทย ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ค่าใช้จ่าย หรือวิถีชีวิต ขณะเดียวกัน ภาครัฐยังคงถูกมองว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ประชาชนจะมีความกังวลว่าการแก้ปัญหาอาจเป็นเรื่องยาก แต่เสียงสะท้อนของคนส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่ามาตรการที่เหมาะสม เช่น การควบคุมการเผาอย่างเข้มงวด การผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดอาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบในอนาคต
“การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของภาครัฐเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะอากาศที่สะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนทั้งนี้ช่วงปี2013 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีนก็ประสบปัญหาไม่ต่างจากประเทศไทยในขณะนี้ แต่ประเทศจีนใช้เวลาเพียง10ปี ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบโดยตรง ออกแผนควบคุมมลพิษทางอากาศและบังคับใช้อย่างเข้มงวด รวมทั้งติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่ดีในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ของประเทศไทยในระยะยาว” ผศ.ดร.สมศักดิ์ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี