ตร.ทลาย 2 เว็บพนัน
เงินหมุนหมื่นล้าน
อีกรายแก๊งฟอกเงิน
กลุ่มจีนเทา 2.9 พันล.
ตร.ไซเบอร์ ทลายเว็บพนันรายใหญ่กลางกรุง ตะลึงพบเงินหมุนเวียนปีละ 1.1 หมื่นล้านขยายผลรวบแอดมินเพิ่ม ด้าน บก.ปอท.ทลายแก๊งฟอกเงินจีนเทา รวบตัว 10 ผู้ต้องหาทั้งไทย-จีน รับงานแปลงทรัพย์สินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ยึดทรัพย์สินต่างๆ จากการกระทำผิด รวมมูลค่ากว่า 2,900 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศรายุทธจุณณวัตต์ ผบก.สอท.2พล.ต.ต.ศุภกร ผิวอ่อน ผบก.สอท.5 พร้อมคณะ แถลงผลการทลายเว็บพนันรายใหญ่มีเงินหมุนเวียนปีละกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ขยายผลรวบแอดมินเว็บพนันเพิ่มเติมอีกเว็บ
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ทาง บช.สอท.ได้เร่งสืบสวนปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมและขยายผลเครือข่ายเว็บพนันรายใหญ่ 2 เครือข่าย โดยปฏิบัติการที่ 1 ตำรวจ กก.2 บก.สอท.2 สืบสวนเครือข่ายพนันเว็บไซต์แห่งหนึ่ง มีสมาชิกที่เข้ามาเล่นพนันกว่า 18,000 คน มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 11,520 ล้านบาทต่อปี จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในเครือข่ายนับ 10 ราย
ต่อมาเจ้าหน้าได้นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลอาญาพระโขนง เข้าตรวจค้นห้องพัก ชั้น 17 คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านศรีนครินทร์-หัวหมาก แขวงและเขตสวนหลวง กทม.จับกุมผู้จัดการด้านการเงินและผู้ทำหน้าที่กดเงินสด2 ราย ได้แก่ นายพงษ์ณพัฒน (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี และนายธนบดี (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี รวมทั้งจับกุมผู้ที่เปิดบัญชีม้าอีก 3 ราย ยึดของกลางเงินสด 3,956,500 บาท บัญชีธนาคาร44 เล่ม บัตรกดเงินสด 54 ใบโทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ทบุ๊ค2 เครื่อง รถยนต์ 3 คัน เครื่องนับเงินสด รวมมูลค่าทั้งหมดประมาณ 10 ล้านบาท
ผบช.สอท.กล่าวต่อว่า ส่วนปฏิบัติการที่ 2 ตำรวจ กก.1 บก.สอท.5 เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บพนัน ซึ่งมีเงินหมุนเวียนแต่ละบัญชีกว่า 500 ล้านบาทต่อปี โดยจับกุมผู้ทำหน้าที่เบิกเงินสดและนำเงินไปฟอกโดยเข้าบัญชีธนาคารอื่น2 ราย พร้อมของกลางเงินสด 939,000 บาท สร้อยคอทองคำและทองคำแท่งมูลค่าประมาณ 90,000 บาท บัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม รวมถึงของกลางอื่นๆ 7 รายการ
จากนั้นได้สอบสวนขยายผล โดยเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ขออำนาจศาลอาญา ออกหมายจับ และจับกุมนายกฤษฎา (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ทำหน้าที่เป็นแอดมินและดูแลบัญชีเว็บไซต์พนันดังกล่าว จับกุมได้ที่หน้าห้องพักคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว แล้วเข้าตรวจค้นที่ห้องพัก พร้อมยึดของกลางบัญชีธนาคาร 56 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 40 ใบ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 1 ชุด
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ทำงานกับเว็บพนันประมาณ 5-6 ปีช่วงแรกต้อง เดินทางไปทำงานที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จากนั้นเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จึงย้ายไปอยู่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ช่วงหลังจึงได้รับอนุญาตให้กลับมาทำงานที่ประเทศไทย ตนมีหน้าที่คอยบริหารเงิน พร้อมจัดหาบัญชีม้า เมื่อมียอดเงินจากการเล่นพนันโอนเข้ามา ก็จะถูกโอนต่อเป็นยอดย่อยๆ ไปยังบัญชีอื่นที่เตรียมไว้เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่และเพิ่มความยากต่อการสืบสวนติดตาม โดยได้รับค่าจ้างประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน และหากเดือนไหนจัดหาบัญชีม้าได้อีก ก็จะได้รับเงินเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างขยายผลเว็บพนันทั้ง 2 เครือข่าย พร้อมกับตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงไปยังผู้รับผลประโยชน์ เพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดในขบวนการนี้ที่ยังหลบหนีและตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดต่อไป
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริสว.กก.2 บก.ปอท.แถลงจับกุม น.ส.อัจฉรา อายุ 27 ปี, นายเก๊า อายุ 35 ปี, นายซง อายุ 30 ปี, นายเหมา อายุ 46 ปี,นางโจ อายุ 44 ปี ทั้งหมดสัญชาติจีน น.ส.พรทิพย์ อายุ 44 ปี, นายนพวิทย์ อายุ 31 ปี, นายชลธีอายุ 21 ปี , น.ส.ปัณฑารีย์ อายุ 26 ปี และ น.ส.สุภาวดี อายุ 39 ปีรวม 10 คน ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่
พล.ต.ท.จิรภพกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากมีผู้เสียหายแจ้งความกับทาง บก.ปอท.ว่าถูกคนร้ายหอกลวงให้ทำงานหารายได้พิเศษ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ช่วงแรกได้รับค่าตอบแทนจริง ก่อนจะถูกชักชวนให้นำเงินมาลงทุนรูปแบบต่างๆ แล้วภายหลังกลับไม่ได้รับเงินคืน ต่อมาทาง บก.ปอท.สืบสวนทราบว่าคนร้ายมีการทำเป็นขบวนการ มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารต่างๆ ก่อนจะถอนเงินสดออกจากบัญชี โดยพบเหยื่อที่ถูกหลอกลักษณะเดียวกันประมาณ 60 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว จึงขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง 32 ราย แบ่งเป็นกลุ่มบัญชีม้าคนไทย 10 ราย กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน 2 ราย กลุ่มที่ฟอกเงินจากการกระทำผิด 20 ราย โดยเป็นชาวไทย 1 ราย ชาวจีน 14 ราย และเกาหลี 5 ราย
ด้าน พล.ต.ต.อธิปกล่าวว่า ต่อมาทางตำรวจ บก.ปอท.ร่วมกับตำรวจในสังกัด บช.ก.เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา” นำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 20 จุดใน 8 จังหวัดทั่วประเทศจับกุมผู้ต้องหาได้ 10 รายดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้า 5 ราย พร้อมยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ 210 รายการ อาทิ บัญชีธนาคาร , รถยนต์, เงินสด, โฉนดที่ดินบ้าน-คอนโดมิเนียม , นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนด์เนมและทรัพย์สินมีค่า รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท
จากการสอบสวน น.ส.อัจฉรา ซึ่งเป็นตัวการฟอกเงิน ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่าเมื่อปี 2562 เคยทำหน้าที่เป็นล่ามและไกด์พาชาวจีน ท่องเที่ยว จนเมื่อปี 2566 ได้รู้จักกับแฟนหนุ่มชาวจีน และร่วมกันรับแลกเหรียญดิจิทัลจากลูกค้ากลุ่มจีนเทาที่ต้องการใช้เงินในประเทศไทย ก่อนนำเหรียญดิจิทัลมาขายและแลกเปลี่ยนตามคำสั่ง โดยจะได้ค่าบริการ 0.03-0.05% ของยอดเงินที่แลกเปลี่ยนให้
น.ส.อัจฉราให้การว่า ในขั้นตอนการทำงาน แฟนหนุ่มชาวจีนจะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่างๆ จากนั้นตนและสมาชิกร่วมแก๊งที่ได้รับเงินดิจิทัลจะนำเหรียญดิจิทัลมาขายในรูปแบบ p2p ผ่านแพลตฟอร์ม Exchange โดยส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา หักยอดเงินจำนวนไม่มาก ตนและแฟนหนุ่มจะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีของตนไปให้ลูกค้า แต่หากเป็นเงินจำนวนมากก็จะเบิกเงินสดไปมอบให้ลูกค้า หรือนำเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา โดยทำหน้าที่ฟอกเงินตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน รับเป็นเงินดิจิทัลสกุล USDT จำนวน 187 ล้านเหรียญ USDT หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,500 ล้านบาท และถอนเงินสด เป็นเงินไทยไปแล้วประมาณ 2,900 ล้านบาท และมีการนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ
ผบก.ปอท.กล่าวเสริมว่า ในส่วนของผู้ต้องหาที่เป็นชาวจีนทั้ง 4 ราย ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่ามีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยมีหน้าที่รับเหรียญดิจิทัลจากกลุ่มจีนเทามาเทขาย ก่อนนำเงินสดส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งนอกจากพบความเกี่ยวข้องเส้นทางการเงินที่มีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้วยังพบว่าขบวนการนี้มีพฤติการณ์ตั้งบริษัทให้คนไทยเป็นนอมินีคอยรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านหรือที่ดิน ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจจริง โดยพบมียอดเงินไหลเข้าไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 10 แห่ง ใช้นอมินีคนไทย แต่กรรมการเป็นชาวจีน ซึ่งจะมีการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี