ทหารพรานนครพนมรุกฆาตจู่โจมจับ 3 นักค้ารายย่อย ผันตัวจากผู้เสพเป็นผู้ค้าในหมู่บ้าน 

สืบเนื่องรัฐบาลได้เปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe หรือ 3S ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เพื่อให้เห็นผลในเชิงปฏิบัติในด้านของ Stop ตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้เปิดยุทธการเด็ดปีกนักค้ารายย่อยทั่วประเทศ โดยในส่วนพื้นที่ชายแดนแถบลุ่มแม่น้ำโขง อยู่ภายใต้การอำนวยการของหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 24 (นบ.ยส.24) มี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 (มทภ.2) เป็นผู้บัญชาการโดยร่วมมือหน่วยบูรณาการในพื้นที่ เช่น ตำรวจ ทหาร ปกครอง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้ปฏิบัติการพร้อมกันทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นการ Stop นักค้ายาเสพติดในพื้นที่ชายแดน ตามนโยบาย 3S ของรัฐบาล สืบสวนสอบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ค้ารายย่อย รวมถึงผู้เสพยาเพื่อตัดวงจรอุบาทว์

ล่าสุด พล.ต.สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี (ผบ.กกล.ฯ) พ.อ.ศิวดล ยาคล้าย ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1/หัวหน้าส่วนสกัดกั้น นบ.ยส.24 พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 นายสรรพสิทธิ์ บุญเลิศ ผู้อำนวยการ ป.ป.ส. ภาค 4 และนายชินวัต ทองปรีชา นายอำเภอท่าอุเทน สั่งการให้ ร.อ.ธนากร  นาเหล็ก ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2103 (ผบ.ร้อย ทพ.2103) ฐานปฏิบัติการ ทพ.2103 ต.พนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนครพนม (ตม.ฯ)  และฝ่ายปกครองอำเภอท่าอุเทน ร่วมประชุมวางแผนเพื่อเข้าจู่โจมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย

ทั้งนี้ เป็นการขยายผลจากการที่จับกุมผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนักค้ายาบ้ารายย่อย ห้วงวันที่ 31 มกราคม-13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาและได้เปิดปากซัดทอดไปยังผู้ค้ารายอื่น รวมถึงผู้เสพอีกจำนวนมาก โดยในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ทพ.2103 ก็มีรายชื่อผู้เสพจำนวนหนึ่ง จึงเปิดปฏิบัติการจู่โจมแบบไม่ให้ทันตั้งตัว โดยทยอยตรวจค้นจับกุม

วันที่ 20 ก.พ.68 เวลาบ่ายสองเศษ ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบกระท่อมน้อยในป่าสวนยางพาราพื้นที่ บ้านหนองสาหร่าย หมู่ 2 ต.พนอม หลังจากสายข่าวเช็คข้อมูลชัดเจน ว่ามีวัยรุ่นรวมกลุ่มกันมั่วสุมเสพยาบ้าเป็นประจำ พบชายสองคนลักษณะคล้ายคนเสพยา นั่งอยู่ในกระท่อมจึงสอบถาม แต่เมื่อชายทั้งสองคนแสดงท่าทางพิรุธตกใจ กระวนกระวาย จึงขอตรวจสารเสพติดในร่างกายพบฉี่เป็นสีม่วง คือ นายธนากรณ์ อายุ 28 ปี และนายจักรกฤษ อายุ  31 ปี ยอมรับว่าเพิ่งเสพยาบ้ากัน ในตัวยังค้นเจอถุงพลาสติกสีฟ้าบรรจุยาบ้า เจ้าหน้าที่จึงตรวจค้นภายในกระท่อม เจอยาบ้าบรรจุถุงพลาสติกใส ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือสีเทา รวมทั้งสิ้น 97 เม็ด สารภาพว่าได้ซื้อยาบ้าจากนักค้ารายย่อยคนหนึ่ง ในราคา 3 เม็ด 100 บาท ใน 1 ถุงพลาสติกสีฟ้ามียาบ้า 200 เม็ด หลังได้เงินค่ากรีดยางก็ลงขันซื้อมา 1 ถุง ในราคา 4,500 บาท ขายต่อในกลุ่มวัยรุ่นเม็ดละ 50 บาท ถือว่าได้ทั้งกำไรและเสพยาฟรี

ต่อในในวันเดียวกันเวลา 16.00 น. หน่วยปฏิบัติการชุดเดิม เข้าตรวจค้นอีกบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะสืบทราบว่าเป็นแหล่งมั่วสุม พบชายคนหนึ่งทราบว่าชื่อนายสรณรินทร์ อายุ 27 ปี เห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ก็ออกอาการสีหน้าตื่นตกใจ เหงื่อออก คอแห้งอยากดื่มน้ำตลอด เจ้าหน้าที่ได้แจ้งสาเหตุแก่แม่นายสรณรินทร์ เพื่อเข้าตรวจค้นภายในห้องนอนของ นายสรณรินทร์ พบยาบ้าจำนวน 814 เม็ดบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน และในขวดพลาสติกสีขาวซ่อนไว้ในกระเป๋าสะพายสีขาว นายสรณรินทร์ ยอมรับว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของตนจริง โดยซื้อมาจากนักค้ารายย่อยรายเดียวกับนายธนากรณ์ และนายจักรกฤษ พร้อมตั้งตนเป็นผู้ค้าให้กับวัยรุ่น และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในราคาเม็ดละ 50 บาท เจ้าหน้าที่จึงแจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหาให้ 3 ผู้ต้องหาและนำตัวพร้อมของกลางทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินดคีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ สามารถจับกุมทั้งเอเยนต์ และผู้ค้ารายย่อย นำไปสู่งการยึดทรัพย์ รวมถึงการตรวจยึดยาบ้าไปครั้งละจำนวนมาก ทำให้ยาบ้าแถบชายแดนแม่น้ำโขงหายากจึงมีราคาเขยิบขึ้น จากเดิม 3 เม็ด 100 บาทเป็นเม็ดละ 50 บาทหรือ 2 เม็ด 100 บาท ผู้เสพก็ต้องหาเงินซื้อในราคาเม็ดละประมาณ 70-90 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้วางยุทธศาสตร์กระชับพื้นที่ให้แคบลง จับกุมผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ หมู่บ้าน ชุมชน เพื่อตัดตอนวงจรอุบาทว์ เมื่อไม่มีผู้ค้ารายย่อยรับช่วงกระจายยาบ้าในชุมชน ยาเสพติดก็ไม่แพร่ในกลุ่มผู้เสพ