21 ก.พ.68 จากกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กกรณี สตม.ไม่ได้จัดเก็บข้อมูล Biometrics ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 17 ล้านคน เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมาซึ่งอาจเป็นโอกาสให้ทุนสีเทาแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในประเทศได้
ล่าสุด พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 ในฐานะโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สตม.คัดกรองและควบคุมคนต่างด้าว ที่เดินทางเข้าประเทศด้วยระบบสารสนเทศ หลายระบบ ได้แก่ ระบบ Biometrics ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลของทุกคนที่เดินทาง เข้า- ออก ประเทศได้ โดยก่อนอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ จะมีการตรวจสอบว่าคนต่างด้าวเป็นบุคคลต้องห้าม บุคคลที่มีหมายจับ หรือเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์
จากฐานข้อมูลที่ สตม.ได้รับแจ้งและจัดเก็บไว้จากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศหรือไม่ หากคนต่างด้าวไม่มีลักษณะต้องห้าม จะอนุญาตให้เข้ามาในประเทศ ซึ่งข้อมูลการ เข้า-ออก ประเทศของคนต่างด้าวนี้ สามารถตรวจสอบได้ว่าเดินทางเข้ามาในประเทศเมื่อใด ช่องทางใด ด้วยวัตถุประสงค์หรือวีซ่าประเภทใด และเดินทางออกเมื่อใด ช่องทางใด ต่อมาเมื่อคนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศแล้ว สตม. ใช้ระบบสารสนเทศอีกระบบหนึ่ง คือ ระบบ PIBICS ในการควบคุมคนต่างด้าวโดยเมื่อเข้าพักอาศัย ณ ที่ใด ภายใน 24 ชม. สตม.จะมีข้อมูลการรับแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวนั้น
โฆษก สมต. กล่าวว่า หากคนต่างด้าวต้องการจะอยู่ในประเทศเป็นระยะเวลานาน โดยอยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถต่อวีซ่าได้ คนต่างด้าวสามารถยื่นขอต่อวีซ่า ข้อมูลการอนุญาตต่อวีซ่าจะถูกบันทึกรายละเอียดไว้ในระบบนี้ทั้งหมด เช่น วัตถุประสงค์ในการอยู่ ระยะเวลาในการที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ สถานที่พัก สถานที่ที่ทำงาน ใบอนุญาตทำงาน รายได้ บัญชีเงินฝาก การเสียภาษี ฯลฯ ตลอดจนหากคนต่างด้าวมีครอบครัวเป็นคนไทย จะเก็บหลักฐานทางทะเบียนต่างๆ เช่น ทะเบียนสมรส ทะเบียนการจดรับรองบุตร เป็นต้น
นอกจากนี้ระบบยังมีการบันทึกข้อมูลที่พักของคนต่างด้าวเมื่ออยู่ในประเทศทุกๆ 90 วัน หากคนต่างด้าวอยู่ในประเทศไทยแล้วต่อมาการอนุญาตสิ้นสุด( Overstay ) และไม่ได้มายื่นต่อวีซ่า สตม.สามารถตรวจสอบข้อมูลจากระบบสารสนเทศได้ว่าคนต่างด้าวผู้นั้นอยู่ในประเทศโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะเห็นได้จากผลการสืบสวนจับกุมของ สตม. มีผลการจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิด บุคคลที่ต้องการตัว บุคคลตามหมายจับ หรือบุคคลที่อยู่เกินกำหนดอนุญาต ( Overstay) จำนวนมากอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยอาศัยข้อมูลจากระบบสารสนเทศดังกล่าวนี้
โฆษก สตม. กล่าวต่อว่า ในกรณีที่ต่อมาภายหลังหากคนต่างด้าวมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือ ได้รับแจ้งจากหน่วยงานต่างๆ ว่าคนต่างด้าวนั้นมีลักษณะต้องห้าม จะมีการบันทึกรายชื่อคนต่างด้าวนั้นๆ ลงในบัญชีบุคคลต้องห้าม ( Blacklist ) ซึ่งการบันทึกข้อมูลต้องห้ามนี้จะถูกบันทึกลงในระบบฯ และมีการเก็บอัตลักษณ์ของคนต่างด้าวไว้เพื่อเปรียบเทียบ แม้ในกรณีที่คนต่างด้าวมีการเปลี่ยนแปลงเอกสารการเดินทาง ( Passport ) ในครั้งต่อไป เมื่อเดินทางกลับเข้ามาในประเทศก็สามารถตรวจสอบยืนยันได้ว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ทำให้สามารถปฏิเสธการเข้าเมืองได้ ซึ่งการบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมในระบบลักษณะนี้ สามารถจัดเก็บได้อย่างไม่จำกัดจำนวน ดังนั้นจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อข้อมูลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตแต่อย่างใด
ดังนั้น จากข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่าระบบสารสนเทศ ของ สตม. ยังสามารถควบคุม ติดตามและตรวจสอบคนต่างด้าว ที่เดินทางเข้ามาและอยู่ในประเทศได้ ส่วนกรณีข้อมูลของคนต่างด้าวที่ถูกบันทึกลงในระบบฯ ที่ยังไม่มี License นั้น มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์คนต่างด้าวตามปกติ เพียงแต่ในส่วนของการประมวลผลบางรายการ อาจลดประสิทธิภาพลงบ้าง แต่ไม่กระทบต่อการควบคุมคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาและอยู่ในประเทศไทยในภาพรวมของ สตม.ทั้งระบบ ซึ่งขณะนี้ สตม. ได้จัดทำโครงการระบบบริหารจัดการตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ Thailand Immigration System (TIS) ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง และหลายประเทศได้มีการใช้งานระบบที่มีลักษณะเดียวกันนี้อยู่แล้วมาทดแทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี