กสม.หวั่นส่งผลกระทบไทยหนัก
ส่ง‘อุยกูร์’กลับจีน
ชี้ชัดขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
จีนยันความร่วมมือ2ปท.
ย้ำปฏิบัติการอย่างมีอารยะ
นักสิทธิมนุษยชน ยื่นศาลอาญาไต่สวนนายกฯและ สตช. กรณีละเมิด พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย บังคับส่งชาวอุยกูร์ 40 คน เดินทางกลับประเทศ ศาลยกคำร้อง ชี้ไม่ใช่บุคคลที่มีหน้าที่ส่วนนี้ ประธาน กสม.ส่งหนังสือด่วนถึงนายกฯ แจ้งข้อห่วงกังวล หวั่นทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน กระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศมุสลิม
ด้านสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เผยส่งผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับซินเจียง เป็นความร่วมมือกับไทย ยันปฏิบัติอย่างมีอารยะ
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพรถบรรทุกกักขังสีเลือดหมูคาดขาว ใช้เทปสีดำปิดบังช่องหน้าต่างรอบคันและปิดบังโลโก้ของหน่วยงานบริเวณประตูรวม 6 คัน ขับออกจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สวนพลู) เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา มุ่งหน้าถนนพระราม 4 ขึ้นทางด่วนแยกบ่อนไก่ ก่อนจะมีนายตำรวจนำรถมาปิดขบวนในการติดตาม ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารถคันดังกล่าวบรรทุกอะไรเป็นจำนวนมากนั้น
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้พยายามพูดคุยกับหลายคนที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองว่าที่มีข่าวลือว่าจะขนชาวอุยกูร์ส่งกลับไปที่ประเทศจีนมีความชัดเจนอย่างไร โดยเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม หากเป็นจริง ตนคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลก
ด้าน นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ตน และน.ส.ธิษะณา ชุณหวัณ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ไปสังเกตการณ์ที่ ตม.สวนพลู ซึ่งก็พบความผิดปกติหลายอย่าง ซึ่งตนพยายามคุยกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแต่เขาก็ไม่ได้ให้ข้อมูลมากนักและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน เพราะไม่ได้มีการติดต่อไปก่อน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของนายกรัฐมนตรี และขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ยังตอบรายละเอียดมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง คงใช้เวลาสักระยะหนึ่งถึงจะให้รายละเอียดได้ ตอบได้เพียงเท่านี้
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนักสิทธิมนุษยชน เข้ายื่นต่อศาลอาญาให้ไต่สวนฉุกเฉิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกร้องที่ 2 กรณีละเมิด พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย จากกรณีที่มีการบังคับส่งชาวอุยกูร์จำนวน 40 คน กลับไปยังประเทศจีน โดยใช้เครื่องบินจากประเทศจีนที่สนามบินดอนเมือง
ต่อมา ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้ว เห็นว่า เนื่องจากบุคคลที่เป็นผู้ร้องไม่ได้เป็นบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการกระทำแทนผู้เสียหาย ในชั้นนี้จึงให้ยกคำร้อง
น.ส.พรเพ็ญ เปิดเผยว่า ศาลอาญาให้เหตุผลว่าผู้ร้องยังไม่ได้เป็นบุคคลผู้มีอำนาจในการกระทำเเทนตามมาตรา 26(6) ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยหลังจากนี้ก็จะไปปรึกษากับทีมทนายความในเรื่องการยื่นอุทธรณ์คำสั่งหรือยื่นคำร้องใหม่ เพราะศาลมองว่าเราไม่ได้กลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเป็นผู้เเทน เเต่ถ้าไปดูในตัวบทกฎหมายไม่ได้เขียนว่าจำเป็นต้องเป็นผู้เเทน ตามมาตรา 29 เขียนว่าเป็นผู้คำนึง หรือผู้พบเห็นก็ได้ซึ่งวันนี้เราไม่ได้ยื่นมาตรานี้เข้าไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับมาตรา 29 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดพบเห็นหรือทราบการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้แจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน คณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายโดยไม่ชักช้าผู้แจ้งตามวรรคหนึ่ง ถ้าได้กระทำโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แม้ภายหลังปรากฏว่า ไม่มีการกระทำความผิดตามที่แจ้ง
น.ส.หรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเตรียมส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง ด้วยความห่วงกังวลอย่างยิ่งว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ชาวอุยกูร์ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายต่อชีวิต อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ได้แก่ การไม่ผลักดันบุคคลไปสู่อันตราย (Non-refoulement principle) และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างร้ายแรง ทั้งพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) นอกจากนี้ ยังจะกระทบต่อสถานะของประเทศไทยในประชาคมโลก ตลอดจนต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับมิตรประเทศที่สำคัญ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประธาน กสม. จึงมีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อห่วงกังวลต่อการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง 4 ข้อ ขอให้พิจารณา ดังนี้ (1) การส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทางจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) เนื่องจากขัดต่อเจตนารมณ์และคำมั่นของประเทศไทยที่จะส่งเสริมการเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ได้ให้ไว้ในการรณรงค์หาเสียงในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก HRC
(2) การส่งกลับชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลาม จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศมุสลิม ทั้งในอาเซียนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง รวมถึงอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับ OIC ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความพยายามของไทยในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจส่งผลให้สถานการณ์กลับมาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
(3) การส่งชาวอุยกูร์กลับจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับประเทศตะวันตก ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้ อาจมีผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่นักลงทุนต่างชาตินำมาประกอบการพิจารณานำเงินมาลงทุน
(4) ประเทศไทยมีวิวัฒนาการในการพัฒนาประเทศมาหลายทศวรรษ ทั้งในบริบทของการเมือง สังคม เศรษฐกิจ จนมีศักดิ์ศรีและสถานะเป็นที่ยอมรับในประชาคมระหว่างประเทศว่ายึดมั่นในหลักการสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศโดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน กสม. จึงขอกราบเรียนมาเพื่อนายกรัฐมนตรีทบทวนนโยบายการส่งกลับดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียการยอมรับที่พัฒนามายาวนานข้างต้น และกระทบต่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยรวม
วันเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ภาพชาวอุกูร์ ส่งกลับไปมาจากประเทศไทย พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย” ระบุว่า ชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 40 รายถูกส่งตัวกลับจีนจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 40 รายถูกส่งตัวกลับซินเจียงของ ประเทศจีนจากประเทศไทย โดยเที่ยวบินเช่าเหมาลำของบริษัทการบินพลเรือนของจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมระหว่างจีนและไทยที่ได้ร่วมมือจัดการกับอาชญากรรมการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของพลเมืองจีน ตามกฎหมายของสองประเทศและแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ
ชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดหมายที่ถูกส่งกลับจีนในครั้งนี้ ถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 10 กว่าปี เนื่องจากปัจจัยระหว่างประเทศที่ซับซ้อน หน่วยงานความมั่นคงสาธารณะและหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศจีน ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้คนเหล่านี้กลับบ้านหลังจากปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดของการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ได้มาตรฐาน ยุติธรรมและมีอารยะ และช่วยให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตปกติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี