ภาษีดีกว่าส่วย! ภาคประชาสังคมเปิดตัวร่างกม.เลิกความผิดขายบริการทางเพศ คาดล่าชื่อส่งสภาฯได้เร็วๆนี้
3 มี.ค. 2568 ที่ รร.รัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศ และพนักงานในสถานบันเทิง จัดเสวนาหัวข้อ “ถึงเวลายกเลิกกฎหมายค้าประเวณี ผลักดันกฎหมายคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ” และการเปิดตัว (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับภาคประชาชน โดย ศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมอิสระและผู้ประกอบการ กล่าวว่า 1.ที่ต้องย้ำก่อนเป็นอย่างแรก คือการขายบริการทางเพศในที่นี้หมายถึงเฉพาะผู้ที่สมัครใจ ไม่สนับสนุนให้มีการบังคับและไม่สนับสนุนให้ผู้เยาว์เข้ามาสู่อาชีพนี้
2.ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ขึ้นทะเบียนผู้ขายหรือผู้ให้บริการทางเพศ แต่ขึ้นทะเบียนผู้ที่ต้องการตั้งสถานประกอบการที่มีการให้บริการทางเพศ ในลักษณะเดียวกับการจดทะเบียนสถานบริการประเภทอื่นๆ เช่น ร้านเหล้า ร้านนวด ฯลฯ ซึ่งการที่สถานบริการทางเพศไม่มีกฎหมายรับรองนำมาสู่การต้องจ่ายส่วย ซึ่งการจดทะเบียนสถานบริการทางเพศจะทำให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศที่เป็นลูกจ้าง
อาทิ สภาพการจ้างงานที่เป็นธรรมและปลอดภัย ไม่รับผู้มีอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้ามาทำงาน ไม่บังคับบุคคลใดให้มาทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ใบอนุญาตสถานบริการทางเพศจะต้องต่ออายุทุกๆ 3 ปี 3.สถานบริการทางเพศต้องไม่อยู่ใกล้สถานศึกษา ศาสนสถาน โรงพยาบาล ไม่มีลักษณะทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ และต้องมีมาตรการดูแลความปลอดภัย โดยเงื่อนไขนี้อ้างอิงมาจากกฎหมายสถานบริการจำพวกผับ บาร์ คาราโอเกะ ร้านเหล้า ซึ่งคณะผู้จัดทำไม่ต้องการให้ร่างกฎหมายนี้เป็นกฎหมายพิเศษ
4.ผู้ประกอบกิจการสถานบริการทางเพศ มีหน้าที่จัดหาสวัสดิการด้านสุขอนามัยให้แก่พนักงานในสถานประกอบการ เพื่อให้เกิดการจัดบริการที่เหมาะสม 5.การเป็นนายหน้า เป็นธุระจัดหาบุคคลไปขายบริการทางเพศ ที่ปัจจุบันมีความผิดอยู่แล้ว ร่างกฎหมายนี้ก็ยังคงให้มีความผิดเช่นเดิม เว้นแต่จะไปขึ้นทะเบียนจัดตั้งสถานบริการ ส่วนข้อกังวลที่ว่า หากอาชีพขายบริการทางเพศไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย จะเป็นการทำลายสถาบันครอบครัว การนอกใจจะมากขึ้น ตนมองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจิตสำนึกส่วนบุคคลมากกว่า
“ต่อให้พนักงานบริการไปยืนหน้าบ้านและแต่งตัวเซ็กซี่ บอกว่าฉันอยากพบผัวคุณจังเลย มารับฉันหน่อยสิ ถ้าผัวคุณไม่เล่นด้วยเขาก็ไม่เอา ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นสถานบริการเป็นทางเลือกหนึ่งในความสุขสมทางเพศแค่นั้นเอง การมีหรือไม่มีกฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับการนอกใจ ต่อไปถ้ากฎหมายนี้ผ่าน พนักงานบริการไม่มีความผิด ฉะนั้นคนจะนอกใจ ไม่ใช่ กฎหมายนี้ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้กับคนนอกใจ” ศิริศักดิ์ กล่าว
มนัชญา (ตัวแทนพนักงานบริการ) กล่าวว่า พนักงานบริการถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งจากผู้ประกอบการและจากเจ้าหน้าที่รัฐ เรียกร้องอะไรก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมายมาโดยตลอด อย่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 สังคมยังคงมองคนขายบริการทางเพศเป็นอาชญากร แต่ร่างกฎหมายที่กำลังผลักดันนี้หากผ่านออกมาบังคับใช้ พนักงานบริการก็จะได้รับความคุ้มครองมากขึ้น ทั้งด้านสุขภาพ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน เช่น ถูกหักเงินเท่านั้นเท่านี้เมื่อเข้างานไม่ตรงเวลา และได้เข้าสู่ระบบประกันสังคม
“อยากให้กฎหมายฉบับเก่ายกเลิก และได้กฎหมายใหม่เพื่อรับรองให้พนักงานบริการเราได้เข้าในแรงงาน เราจะได้เสียภาษีเหมือนพนักงานทั่วไป เช่น รับเงินเดือนเราก็เสียภาษี จ่ายประกันสังคม” มนัชญา กล่าว
สมชาย (ตัวแทนผู้ใช้บริการ) กล่าวว่า ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ผู้ใช้บริการมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้บริการได้ในกรณีพฤติการณ์อันเป็นความผิดของผู้ให้บริการหรือผู้ประกอบกิจการ ต้องคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการ โดยสรุปคือหากผู้ให้บริการทางเพศทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ผู้ใช้บริการสามารถปฏิเสธได้ และหากมีปัญหาสามารถแจ้งความได้ แม้โดยส่วนตัวแล้วตนคงไม่ไปแจ้งก็ตาม
ทฤษฎี สว่างยิ่ง ผู้อำนวยการเครือข่ายสุขภาพและโอกาส (HON) กล่าวว่า (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับภาคประชาชน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ เช่น การป้องกันและควบคุมโรค การส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ สิทธิในการตรวจรักษาและดูแลสุขภาพ บทบาทหน้าที่ของสถานประกอบการ อาทิ ต้องจัดหาถุงยางอนามัย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
“พนักงานทางเพศยินดีจ่ายภาษีมากกว่าจ่ายส่วย ถ้าเรามองว่าสถานประกอบการทางเพศเป็น Entertainment (สถานบันเทิง) จริๆ เรามี Entertainment ตั้งแต่ยุคสมัยที่พนักงานบริการทางเพศสร้างถนน (ภาษีบำรุงถนน ซึ่งเก็บจากหญิงโสเภณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127 หรือ พ.ศ.2451 ซึ่งบังคับใช้มาจนถึงปี พ.ศ.2503) มียุคสมัยพนักงานทางเพศสร้างเมือง อย่างเมืองพัทยา ชัดเจน เกิดขึ้นได้จากน้ำมือน้ำแรงและชีวิตจิตใจของคนที่เป็นพนักงานทางเพศและคนที่ทำงานในธุรกิจทางเพศ แล้วผิดตรงไหนที่พนักงานทางเพศจะสร้างประเทศนี้” ทฤษฎี กล่าว
ผศ.ดร.กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มี 5 เรื่องที่อยากทำความเข้าใจ 1.ปัญหาของอาชีพขายบริการทางเพศเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น เศรษฐกิจไม่ดี การที่ผู้หญิงถูกคาดหวังให้ดูแลลูกมากกว่าผู้ชาย ซึ่งผู้ขายบริการทางเพศจำนวนไม่น้อยนอกจากเป็นผู้หญิงแล้วยังเป็นแม่ด้วย 2.เหตุที่ไม่ควรกำหนดความผิดผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ มีตั้งแต่
2.1 การกำหนดความผิดและโทษทางอาญาถือเป็นมาตรการรุนแรง ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่สังคมเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องร้ายแรงและไม่ควรให้อภัย คำถามคือการขายบริการทางเพศ หรือ Sex Worker เป็นเรื่องร้ายแรงไม่ควรให้อภัยอย่างไร เพราะคนในสังคมก็รู้ว่าสถานที่ที่มีการขายบริการทางเพศตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง คนในสังคมจึงไม่ได้เกลียดชังผู้ให้บริการทางเพศโดยตรง หรือมีฉันทามติชัดเจนว่าอาชีพนี้น่าตำหนิหรือไม่
2.2 การใช้มาตรการทางอาญาต้องสามารถใช้ได้อย่างเสมอภาค แต่ความเป็นจริงคือในขณะที่เจ้าหน้าที่ไล่จับปรับผู้ขายบริการทางเพศรายย่อยตัวเล็กๆ ก็มีคำถามว่าเหตุใดไม่ไปจับสถานบริการของผู้ประกอบการรายใหญ่บ้าง หากเห็นว่าการขายบริการทางเพศเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ทำให้ถูกมองได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ 2.3 การใช้มาตรการทางอาญาต้องสามารถบังคับใช้ได้จริง และควรเป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อควบคุมพฤติกรรมคนในสังคม ดังนั้นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นจะไม่สามารถแก้ไขได้
3.รัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ซึ่งหลักคิดคือกานำเศรษฐกิจนอกระบบที่อยู่ใต้ดินให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษี ตนจึงมองไม่เห็นว่าการยกเลิกความผิดทางอาญาให้กับ Sex Worker ทำให้ถูกกฎหมายแล้วนำเข้าสู่ระบบภาษี จะส่งผลกระทบต่อใครอย่างไร อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายและแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาล เพราะในอดีตรัฐก็เคยเก็บภาษีจากผู้ประกอบอาชีพนี้จนสามารถนำมาใช้สร้างถนนได้
4.พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เป็นกฎหมายที่ออกมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ถามว่าสามารถป้องกันและปราบปรามได้จริงหรือไม่ เพราะอุตสาหกรรมทางเพศกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องกลับมาคิดว่าน่าจะเปลี่ยนกฎหมายจากป้องกันและปราบปรามเป็นคุ้มครอง ซึ่งจะคุ้มครองทั้ง 4.1 ผู้ขายบริการทางเพศ ที่จะได้รับสถานะเป็นแรงงาน เข้าระบบประกันสังคม มีสัญญาที่เป็นธรรม ไม่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกเก็บส่วย
4.2 เด็กและเยาวชน เพราะกฎหมายกำหนดความผิดผู้เป็นธุระจัดหาและผู้ใช้บริการทางเพศบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี 4.3 ผู้ประกอบการ ด้านหนึ่งคือการไม่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกเก็บส่วย อีกด้านหนึ่งคือการกำหนดมาตรฐานผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานบริการทางเพศ เป็นการคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการในวงการนี้เพื่อไม่ให้คนสีเทาๆ เข้ามา แต่ให้ได้ผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพ เข้าใจทั้งผู้ให้บริการและนักเที่ยว 4.4 สังคมโดยรวม เช่น กำหนดให้สถานบริการทางเพศต้องไม่อยู่ใกล้สถานศึกษา ศาสนสถาน เป็นต้น
5. (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับภาคประชาชน เป็นร่างกฎหมายที่พูดได้เต็มปากว่ายึดโยงกับกลุ่มที่ถูกบังคับใช้ เนื่องจากมีกลไกคณะกรรมการที่มีสัดส่วนตัวแทนผู้ให้บริการทางเพศและผู้ประกอบกิจการ ฝ่ายละ 3 คนเท่ากัน นอกเหนือจากกรรมการฝ่ายหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่ในภาครัฐก็เพิ่มตัวแทนจากหน่วยงานด้านแรงงานและประกันสังคม จากเดิมที่เน้นตัวแทนจากหน่วยงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและหน่วยงานสาธารณสุข
“กฎหมายฉบับนี้ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญและต้องพูดถึงคือศูนย์คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ทำอะไรบ้าง? แก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการประกอบอาชีพ เช่น ถ้าคุณมีลูกค้าเข้ามาวิ่งราวเราไป เราจะจัดการกับเขาอย่างไร? จะไปเรียกร้องกับใคร? เพราะที่ผ่านมาไปเรียกร้องกับตำรวจแล้วยังโดนปรับด้วยเพราะเป็นผู้กระทำผิด ศูนย์คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศจะเข้ามาแก้ปัญหานี้ ในการรับปัญหารับเรื่อง นอกจากนี้ก็มีเรื่องการจัดสวัสดิการในการคุ้มครองอาชีพ รวมไปถึงการฝึกอาชีพและเพิ่มพัฒนาฝีมือ ในกรณีที่อยากจะเข้าไปสู่อาชีพอื่น” ผศ.ดร.กฤษณ์พชร กล่าว
อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ กล่าวว่า จากการทำงานเรื่องผู้หญิง ซึ่งรวมถึงผู้หญิงที่ไปอยู่บ้านพักฉุกเฉิน สถานการณ์ที่ผู้หญิงต้องเผชิญคือเรื่องเศรษฐกิจ หลายคนตกงาน ขณะที่คนทำงานบริการทางเพศก็เป็นคนหารายได้เลี้ยงสมาชิกในครอบครัว เช่น ดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราและเจ็บป่วย หรือมีลูกแต่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสิทธิเด็กซึ่งเมื่อผู้ชายเป็นพ่อให้กำเนิดมาก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ซึ่งหากยังไม่มีกระบวนการที่ประสิทธิภาพในเรื่องนี้ การที่ผู้หญิงหาเลี้ยงครอบครัวด้วยงานบริการทางเพศก็ไม่สมควรถูกลงโทษ
ส่วนกลไกศูนย์คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเลิกอาชีพนี้ การให้คำปรึกษา คำแนะนำเรื่องการป้องกันโรค ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนในครอบครัวด้วย ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ซึ่งองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิงสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ที่สำคัญคือร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ยอมรับการให้เด็กเข้ามาทำงานบริการทางเพศ ดังนั้นผู้หญิงที่ทำอาชีพนี้สามารถแจ้งเหตุได้
“เลิกที่จะมองประเด็นนี้จากกรอบศีลธรรม แต่มองจากกรอบสิทธิมนุษยชน ที่ผู้หญิงที่อยู่ในอาชีพนี้จะได้ไม่ต้องถูกขูดรีด สามารถดำเนินชีวิตและช่วยให้ครอบครัวของผู้หญิงที่อยู่ในอาชีพนี้สามารถดำรงชีวิตและมีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี แล้วก็เด็กๆ ทุกๆ คนในครอบครัว ไม่ว่าครอบครัวไหนก็จะไม่ต้องถูกเลือกปฏิบัติ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามสิทธิที่ควรจะเป็น รวมถึงสิทธิด้านแรงงานด้วย” อุษา กล่าว
ในช่วงท้ายของการเสวนา ชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ ตั้งข้อสังเกตว่า การผลักดันนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ของรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนจะนึกถึงแต่นายทุน เพราะคนเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์คือนายทุน แต่ลืมแรงงานที่อยู่ในนั้นซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้ให้บริการทางเพศ เช่น แม่บ้าน พนักงานเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์ ฯลฯ พูดแต่เรื่องการลงทุน ให้ต่างประเทศมาลงทุน
ดังนั้นหากจะมีเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ก็ต้องเอาแรงงานไปด้วย ซึ่งพรรคเพื่อไทยหรือพรรครัฐบาลในขณะนี้ ที่จะผลักดันเรื่องเงินหรือรายได้ ก็ต้องห้ามลืมคน ตนยังไม่เห็นการพูดถึงคน มีแต่พูดเรื่องเศรษฐกิจและเงิน อนึ่ง ในเวลานี้ที่มีกระแสต่อต้านกาสิโน หรือการพนันถูกกฎหมายในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ยอมรับว่ามาผลักดันเรื่องพนักงานบริการทางเพศในจังหวะที่ไม่ดีอยู่เหมือนกัน แต่จากการหารือกันแล้วก็ตกลงจะผลักดันต่อ อย่างไรก็ตามต้องพูดให้ชัด บ่อนคือสถานที่หรือสถานบริการ แต่สิ่งที่พวกตนพูดถึงนั้นคือคนหรือแรงงาน
“บ่อนคุณกำลังพูดถึงสถานที่ มันไม่เจ็บไม่ปวด แต่เราพูดถึงคน เราเจ็บปวดเดือดร้อน เรามีเรื่องสิทธิ ดังนั้นถึงจะจังหวะนรกแต่เราก็ต้องไป พวกเราในกลุ่มคุยกัน ไม่ใช่ไม่คุยกัน แล้วก็เลยตัดสินใจ ถึงจะจังหวะนรก จะโดนพ่วง โดนตี โดนแรงต้าน เรารับรู้มาตลอด แต่อย่างไรก็ยังต้องดันและทำต่อ” ชัชลาวัณย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจัดเสวนาในช่วงเช้าที่ รร.รัตนโกสินทร์ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ยังมีการรวมคัวไปดำเนินกระบวนการริเริ่มเสนอร่างกฎหมาย ณ อาคารรัฐสภา ซึ่งหากผ่านการตรวจรับรองเรียบร้อยแล้ว จึงจะเปิดให้ประชาชนร่วมเข้าชื่อสนับสนุนร่างกฎหมายต่อไป โดยเพจเฟซบุ๊ก “Empower Foundation” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
ก้าวแรก ถือฤกษ์ดี วันที่ 3 มีนาคม
#InternationalSexWorkersRightsDay
วันนี้เราเปิดร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ เป็นร่างกฎหมายฉบับพนักงานบริการโดยพนักงานบริการ
เป็นร่างที่จะไปยกเลิกความผิดค้าประเวณีในพรบ.ปราบปรามการค้าประเวณีมาใช้กฎหมายคุ้มครองนี้แทน มีคุ้มครองไปถึงเยาวชน คุ้มครองผู้ใช้บริการ ลงทะเบียนสถานบริการ มีศูนย์คุ้มครอง มาตรฐานตวามปลอดภัยในการทำงาน รับรองเป็นงาน เข้าสู่ระบบประกันสังคม คุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงาน
พวกเรายกขบวนไปยื่นจดริเริ่มด้วยกัน
เมื่อ สภา รับเรื่องอนุมัติ เราพร้อมที่จะรณรงค์ ชวนทุกคนร่วมลงชื่อให้กับร่าง พรบ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ กันต่อ
สู้ๆ กันต่อ
#ยกเลิกกฎหมายค้าประเวณี
#ขายตัวไม่ใช่อาชญากร
#กฎหมายใหม่ยุคใหม่ของพนักงานบริการ
#ANewLawforANewEra
#SexWorkisWork
#Empower
#พรบคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ
เครดิตรูป จาก พี่นุ่ม
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี