โฆษกศาลยุติธรรมอธิบายเหตุผลกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุก 130 ปี อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีกับพวกฮั้วประมูลโครงการภาครัฐ 26 สัญญา แต่ให้รอลงอาญา
จากที่ปรากฏข้อมูลในสื่อโซเชียลมีเดียว่ามีการยื่นฟ้องอดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี กับพวกรวม 10 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 เป็นคดีทุจริต 26 โครงการ ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกกว่า 130 ปี แต่รอการลงโทษ ทำให้จำเลยกับพวกไม่ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าร่ำรวยผิดปกติและใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง จนถูกไล่ออกจากราชการเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น
นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับจำเลยที่ 2 - 10 ซึ่งมิได้เป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ล้วนเป็นนิติบุคคลและบริวารผู้ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 และร่วมกับจำเลยที่ 1 จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อยื่นประมูลงานจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า งานประชาสัมพันธ์ และงานอื่น ๆของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่น ๆ ในลักษณะสมยอมราคากันรวม 26 สัญญา โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวไม่ได้มีวัสดุอุปกรณ์จัดสถานที่ไม่มีอุปกรณ์จัดแสงสีเสียง ไม่มีอุปกรณ์เพื่อการแสดงและไม่มีลูกจ้างหรือทีมงานที่จะใช้จัดงานโดยตรง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 151, 152, 157, 264, 268 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 7, 10, 11, 12 และขอให้นับโทษต่อสำหรับจำเลยบางราย
จำเลยทั้งสิบให้การรับสารภาพ
ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า จำเลยที่ 1 วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี 3,448,250 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 วางเงินชดใช้ค่าเสียหาคนละ 1,725,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,898,250 บาท
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 รับฟังคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสิบ ประกอบกับพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพ แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง รวม 26 สัญญา (26 กรรม/กระทง) ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี 3 เดือน และปรับกระทงละ 102,000 บาท รวมจำคุก 130 ปี 78 เดือน และปรับ 2,652,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 65 ปี 39 เดือน และปรับ 1,326,000 บาท โดยในกรณีกระทำความผิดหลายกระทง หากกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึ้นไป ให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
ส่วนจำเลยที่ 2 -10 ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงระวางโทษลดหลั่นกันไปตามจำนวนกรรมและวาระที่กระทำความผิด
ในการพิจารณาว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสิบหรือไม่นั้น ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนคดี และคำนึงถึงหลายปัจจัย ได้แก่ การรู้สำนึกในการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ความถูกต้องครบถ้วนในการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการภายหลังการเข้าทำสัญญาของจำเลย การได้รับประโยชน์จากการกระทำความผิด ความพยายามบรรเทาผลร้ายโดยวางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี พฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดี ประวัติของจำเลย และโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตนเองให้เป็นพลเมืองดีในอนาคต โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้แล้ว จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้คนละ 5 ปี แต่เพื่อให้หลาบจำ เห็นควรวางโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และกำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติอย่างเคร่งครัดมีกำหนด 3 ปี ให้จำเลยทุกคนไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติและให้จำเลยทุกคนทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลาคนละ 72 ชั่วโมง และให้ละเว้น
การประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก หากจำเลยผิดเงื่อนไขให้พนักงานคุมประพฤติรายงานศาลเพื่อเปลี่ยนโทษจำคุกที่รอไว้เป็นโทษจำคุกทันที
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด อัยการโจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 24 มีนาคมนี้ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะพิจารณายื่นอุทธรณ์หรือไม่ ต่อไป
นอกจากนี้ นายรัฐวิชญ์ ยังอธิบายต่อไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การ “รอการลงโทษ”ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้ ดังนี้
1.การจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยรายใด อันดับแรกจะต้องพิจารณาก่อนว่า คดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี หรือไม่ หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดเกินกว่า 5 ปี ย่อมไม่สามารถใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้ แต่หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดไม่เกิน 5 ปี ศาลย่อมมีดุลพินิจพิจารณาต่อไปว่าจะรอการลงโทษหรือไม่ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จำเลยต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยรับโทษจำคุกมาก่อนต้องเป็นกรณีที่เป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หรือโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ หากเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่พ้นโทษมาแล้วเกินกว่า 5 ปี แล้วมากระทำผิดอีกโดยความผิดครั้งหลังเป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ จึงจะอยู่ในเงื่อนไขที่รอการลงโทษได้
2.ในกรณีคดีที่เป็นข่าวนี้ เป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ และศาลจะเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งหากต้องพิจารณาว่าจะรอการลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จะต้องแยกพิจารณาโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยจริง ๆ เป็นรายกระทงความผิดไป หากมีเหตุบรรเทาโทษก็ให้พิจารณาลดโทษรายกระทงให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะนำมาพิจารณาว่าโทษจำคุกแต่ละกระทงมีกำหนดเกิน 5 ปี หรือไม่ เช่นในคดีนี้ ศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 26 กระทง กระทงละ 5 ปี 3เดือน โดยศาลลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ดังนั้น จึงเท่ากับว่าในแต่ละกระทงคงลงโทษกระทงลง 2 ปี 7 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษได้ทุกกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
3.แม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษได้ แต่ก่อนที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ก็วางหลักเกณฑ์ให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงอีกหลากหลายปัจจัย เช่น อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกผิด และการพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานี
ดังนั้น ศาลจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในสำนวนคดีประกอบกันก่อนใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะรอการลงโทษให้แก่จำเลยรายใดหรือไม่ ไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเป็นการเฉพาะ.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี