ตร.ไซเบอร์หิ้ว 93 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไทยที่รับตัวมาจากกัมพูชา ไปฝากขังศาลพร้อมค้านประกันตัว เหตุโทษสูงกลัวหลบหนี ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน คอนยกโขยงนอนคุกหลังวืดประกัน คุมตัวเข้าเรือนจำทันที แฉพฤติกรรมละเอียดรังใหญ่ในฝั่งปอยเปต ไปทำงานโดยสมัครใจ พร้อมขั้นตอนการหลอกลวงละเ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกก. 3 บก.สอท. 1 ได้นำตัว น.ส.วิลัย แผงดวงดี อายุ 40 ปี กับพวกรวม 93 ราย ผู้ต้องหาคดีกระทำความผิดฐาน "ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ช่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน" มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเป็นเวลา 12 วันจนถึง 16 มีนาคมนี้
โดยพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์แห่งคดีว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศกัมพูชา ได้มีการออกหนังสือแถลงข่าวเกี่ยวกับประเด็นการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายในเมืองปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา โดยได้ตรวจค้นและจับกุมตัวได้เป็นจำนวนมากและมีบุคคลสัญชาติไทยถูกจับกุมตัวรวมไปด้วย ประเทศกัมพูชาจะส่งมอบบุคคลสัญชาติไทยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเพื่อ รับไปสืบสวนสอบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของกัมพูชา เพื่อวางแนวทางการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขอนำตัวผู้กระทำผิดคนไทยกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายไทย หรือให้การช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์จากขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้เดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัยโดยเร็ว
ต่อมาจากการตรวจสอบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกจับกุมเป็นบุคคลสัญชาติไทยนั้น มีทั้งหมด จำนวน 119 ราย เป็นบุคคลตามหมายจับของศาลประเทศไทย จำนวน 7 ราย และพบว่าเป็นบุคคลซึ่งถูกผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว จำนวน 10 ราย รวม 48 เคส มีรวมตัวกันเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้อาคารสถานที่ในประเทศกัมพูชาเป็นออฟฟิศที่สำหรับใช้หลอกลวงเหยื่อที่เป็นประชาชนชาวไทย และบุคคลอื่นทั่วไป ได้เดินทางเข้าประเทศกัมพูชาโดยผิดกฎหมายเพื่อทำงานออนไลน์ผิดกฎหมายดังกล่าว ให้กับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ้นเตอร์ เนื่องจากรายได้สูงและสมัครใจไปทำงานด้วยตัวเอง ไม่มีการบังคับใช้แรงงาน, ไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใดและทั้งหมดไม่มีการแจ้งขอความช่วยเหลือจากฝ่ายประเทศไทยและประเทศกัมพูชา
โดยไปทำงานที่ตึกภูมิตาสวน เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ลักษณะเป็นอาคาร 3 ชั้น สีขาว มีรูปปั้นสิงโต จำนวน 2 ตัว มีรั้วรอบขอบชิด มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ภายในรั้วเดียวกันประกอบด้วยหลายอาคาร การเข้า-ออก บริเวณรั้ว จะต้องได้รับการอนุญาต ใช้เป็นสถานที่ทำงานกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สำหรับหลอกลวงผู้เสียหายในประเทศไทย โดยใช้วิธีการแอบอ้างว่าเป็นกรมบัญชีกลาง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าหลอกลวงผู้เสียหายขอรับเงินค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าคืน เปลี่ยนมิเตอร์ฟรี รับค่า FT คืนซึ่งภายในสำนักงานมีพนักงานเป็นบุคคลสัญชาติไทยประมาณ 20 คน, มีชาวจีน ชื่อ "เหลาหู่" เป็นหัวหน้าโดยจะทำหน้าที่สั่งการผ่านล่ามแปล และมี นายอดิศร ลังกำแก้ว หรือ "อาฉ่าง"ทำหน้าที่เป็นล่ามแปล โดยทุกคนจะถูกแบ่งออกเป็นทีมสำหรับการหลอกลวงในขั้นตอนต่างๆ โดยเริ่มแรกจะให้เข้าไปฝึกงาน จำนวน 3 วันโดยให้เข้าไปนั่งฟังการทำงานหลอกลวงของพนักงาน หลังจากนั้นจะให้เริ่มสนทนาเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายด้วยตนเองโดยมีการแบ่งหน้าที่กันเป็นจำนวน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.เป็นระบบหลังบ้านแบบอัตโนมัติที่จะสุ่มโทรไปยังผู้เสียหาย โดยระบบจะมีข้อมูล ชื่อ-นามสกุล,อายุ, หมายเลขประจำตัวประชาชน, สถานที่ทำงานก่อนเกษียณอายุ, ข้อมูลการรับราชการ (ข้าราชการ,พนักงานราชการ, ลูกจ้าง), ที่อยู่, วัน เดือน ปี เกิด และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหาย
เมื่อผู้เสียหายรับสายจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 มีหน้าที่พูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อให้ติดต่อเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง (ขั้นตอนที่ 3 ) โดยใช้บทสนทนา ดังนี้ "สวัสดีครับ คุณ... ผมติดต่อจาก (หน่วยงานของผู้เสียหายที่เกษียณมา) เอกสารเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าครองชีพ (ชคบ.) คุณได้รับเอกสารมาหรือยัง พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะยื่นขอรับเงินชดเชย โดยทางหน่วยงานได้ส่งเอกสารไปที่บ้านเลขที่... ตามข้อมูลที่อยู่ในระบบ) หากยังไม่ได้รับเอกสารให้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเพื่อขอคัดลอกเอกสาร โดยให้ติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์.. เบอร์โทรของขั้นตอนที่ 3)"
และพูดคุยเพื่อมีจุดประสงค์ให้โทรหาเจ้าหน้าที่ในขั้นตอนที่ขั้นตอนที่ 3 มีหน้าที่หลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชัน apk เพื่อควบคุมโทรศัพท์ของผู้เสียหาย ถ้าผู้เสียหายไม่ติดตั้งแอปฯ จะหลอกให้โอนเงินโดยตรง เริ่มแรกจะแนะนำตัวว่าชื่อ....(ชื่อเดียวกับที่ขั้นตอนที่แจ้ง) จากนั้นจะให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนทางไลน์ เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์เงินชดเชยค่าครองชีพ (ชคบ.) จากนั้นจะส่งลิงค์สำหรับลงทะเบียนให้ผู้เสียหาย ซึ่งลิงค์ดังกล่าวเป็นการติดตั้งแอปพลิเคชัน apk เพื่อควบคุมโทรศัพท์ของผู้เสียหาย และให้เข้าไปปิด play protect โดยบอกขั้นตอนทีละขั้นตอน เพื่อทำให้เครื่องโทรศัพท์ของผู้เสียหายสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันนี้ได้ โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวมีหน้าตา UI (User Interface) เหมือนกับแอปพลิเคชันของกรมบัญชีกลางที่แท้จริงทุกประการ และสอนผู้เสียหายให้ทำการติดตั้งทีละขั้นตอนทุกขั้นตอนจนกระทั่งติดตั้งแอปพลิเคชันสำเร็จ โดยเมื่อติดตั้งสำเร็จจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 4 โดยขั้นตอนที่ 3 และ 4 จะทำงานร่วมกัน
ขั้นตอนที่ 4 มีหน้าที่ในการถอนการติดตั้ง แอปฯ ธนาคารที่แท้จริง และติดตั้งแอปฯ โคลนของ ธนาคาร,ควบคุมระยะไกล, ปิดการแจ้งเตือน, ปิดเสียง, เปิด/ปิด การใช้หน้าจอโทรศัพท์ของผู้เสียหายจะเข้าควบคุมผ่านทางไกลทำงานประสานกับขั้นตอนที่ 3 เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายลงทะเบียนแอปฯโคลนนิ่งของธนาคารผู้เสียหายล่งทะเบียนใหม่และกรอกรหัสผ่านสำหรับเข้าแอปฯ และเปิด-ปิดการทำงานของโทรศัพท์ผู้เสียหาย ให้สัมพันธ์กับที่ขั้นตอนที่ 3 หลอกลวง เช่น ขั้นตอนที่ หลอกให้ผู้เสียหายเข้าแอปพลิเคชั่นธนาคาร ก็จะเปิดให้ผู้เสียหายเข้าใช้งานโทรศัพท์ได้
จากนั้นก็จะปิดไม่ให้ผู้เสียหายเข้าใช้งานโทรศัพท์ได้ (เปิดเป็นหน้าจอดำขึ้นโหลดเป็น %) เมื่อสามารถเข้าควบคุมโทรศัพท์ของ ผู้เสียหายได้แล้ว ก็จะทำการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารซึ่งนายทุนชาวจีน และล่าม เป็นผู้จัดหามา โดยบัญชีธนาคารที่ใช้สำหรับรับเงินจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายดังกล่าวนั้น จะถูกใช้งานจนกว่าบัญชีจะถูกอายัด โดยออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ไม่ได้มีการกำหนดจำนวนเงินไว้ว่าจะต้องหลอกลวงได้เป็นเงินจำนวนเท่าใด แต่จะมีการกำหนดว่าแต่ละเดือนทั้งออฟฟิศจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชั่น .apk ให้ได้เดือนละ 10 ครั้ง แต่หากไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ก็จะไม่มีการไล่ออก แต่จะใช้วิธีการข่มขู่ทำร้ายร่างกายด้วยกระบองไฟฟ้าแทน
สำหรับค่าตอบแทน พนักงานจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินสด เดือนละ 20,000 บาท แต่ได้รับจริงเพียงเดือนละ10,000 บาท เนื่องจากทางนายจ้างจะหักเงินค่าไถ่ตัว เดือนละ 10,000 บาท ที่อ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการนำตัวเดินทางจากประเทศไทยเข้ามาทำงานในประเทศกัมพูชา
นอกจากออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวแล้ว ภายในอาคารเดียวกันก็ยังมีออฟฟิศแก๊งคอลเซนเตอร์ประเภทอื่นๆ และยังมีการหลอกหลองต่างประเทศโดยประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่น ไทย,อินเดีย,เวียดนาม,อินโดนีเซียหรือจีน และหากมุ่งเป้าหมายไปยังประเทศใด ก็จะใช้พนักงานออฟฟิศที่มาจากประเทศนั้นในการดำเนินการหลอกลวง ประกอบกับมี น.ส.กาญจนา ผู้เสียหายที่แจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์เมื่อวันที่ 12 ส.ค.2567 ได้ถูกกลุ่มคนร้ายหลอกลวงโดยการโฆษณาทางโปรแกรม เฟซบุ๊กชักชวนให้ทำงานหารายได้เสริม ใช้เวลาน้อย รายได้ดี และใช้โปรแกรมไลน์เป็นช่องทางการสนทนาระหว่าง ผู้เสียหายกับคนร้าย
จากนั้นได้ชักชวนให้ลงทุนเทรดสกุลเงินดิจิทัลผ่านเว็บไซต์ https://vsgo.cc ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันปลอมที่คนร้ายขึ้นมาส่งมาให้ผู้เสียหายลงทุน จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้เข้าบัญชีธนาคารที่คนร้ายให้มา รวม 5 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 60,927 บาท ซึ่งมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ไปยังบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ของ 1 ในผู้ต้องหาที่ศาลอนุมัติหมายจับ จำนวน 17,490 บาท แต่เมื่อจะถอนเงินคืนไม่อาจถอนออกจากระบบได้คนร้ายอ้างว่าทำผิด ขั้นตอนให้โอนเงินเพิ่ม ผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงและคนร้ายได้ปิดช่องทางการติดต่อหลบหนีไป จึงนำพยานหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก เพื่อดำเนินคดีกับคนร้ายให้ถึงที่สุด เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารที่คนร้ายส่งมาให้กับผู้เสียหายโอนเงิน เป็น บัญชีธนาคารกสิกรไทย ของบุคคลสัญชาติไทย ที่ถูกทางการประเทศกัมพูชา ตรวจค้นและจับกุมตัวได้พร้อมกันจำนวน119 คน และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย
จากพฤติการณ์การกระทำดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสมาชิกของกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่รวมตัวกันมากกว่า 5 คนขึ้นไป เพื่อจุดมุ่งหมายกระทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่งอันมิชอบด้วยกฎหมาย และใช้ระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชันต่างๆ เช่นเฟซบุ๊ก อินสตราแกรม ไลน์ ติ๊กต็อก เป็นต้น เป็นช่องทางการติดต่อ กับประชาชนทั่วไป โดยการสร้างเรื่องหลอกลวงประชาชนทั่วไปอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและเป็นความผิดฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นการกระทำโดยใช้สถานที่ภายในประเทศกัมพูชา อันเป็นสถานที่นอกราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ยากต่อการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน ขอค้านประกัน เหตุโทษสูง กลัวหลบหนี ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
ภายหลังญาติได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์คนละ 1 แสนบาท ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแล้วเห็นว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง พฤติกรรมของผู้ต้องหาแบ่งหน้าที่กันทำเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มูลค่าความเสียหายสูง เป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ยกคำร้อง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปแยกฝากขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี