ตำรวจกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือ CIB เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on” รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน
วันนี้ (6 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือ CIB พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป.พร้อมคณะ แถลงข่าวกรณีที่ พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.รัฐมนตรี พันชูกลาง รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ป. พ.ต.ท.ณัฐดนัย สีแข่ไตร รอง ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.สาธิต หาวงษ์ชัย สว.กก.4 บก.ปอศ. พ.ต.ต.อาธิรัตน์ ทิพย์เจริญ สว.กก.3 บก.ป. พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สว.ส.ทล.5 กก.4 บก.ทล.ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 6 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหา 4 ราย อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในคดีอื่น
สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด ประกอบด้วย MR.LI (นายลี) สัญชาติจีน อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 13/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 , Ms.Aye (นางเอ้) สัญชาติเมียนมา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 14/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันสนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมบัตรประชาชน, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”
นายจิรภัทรฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 15/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 , นายสุริยะฯ อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 16/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 , นายพีระศักดิ์ฯ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 17/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 และนายประวิตฯ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 18/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 ทั้งหมดต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”
พร้อมกันนั้น ได้ตรวจยึดของกลาง จำนวน 190 รายการ อาทิ 1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 14 เล่ม 2.เงินสด จำนวน 8,500 หยวน 3.บัตร ATM 5 ใบ 4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 14 เครื่อง 5.แท็บเล็ต 1 เครื่อง 6.คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง 7.บัตรขาว 2 ใบ 8.หนังสือเดินทาง/บัตรประชาชน/เอกสารที่เกี่ยวข้อง 14 รายการ
9.รถยนต์ 2 คัน 10.วัตถุคล้ายทองคำ 5 รายการ และเอกสารอื่นๆ รวม 125 รายการ
การจับกุมดังกล่าว เนื่องจากช่วงปลายปี 2566 มีผู้เสียหายซึ่งเป็นชายชาวจีน เข้าพบตำรวจ กก.3 บก.ป.เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดทรัพย์ โดยเรียกเงิน 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งมูลเหตุของการจะถูกดำเนินคดี เป็นเพราะช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ผู้เสียหายได้เข้าไปยัง กลุ่มเฟซบุ๊กของชาวจีน ซึ่งประกาศแจ้งว่าสามารถจัดทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่นๆ ของไทยให้กับคนจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการคิดค่าดำเนินการประมาณ 1 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงติดต่อพูดคุยและตกลงทำบัตรประชาชน
จากนั้นมีการนัดหมายให้ผู้เสียหายเดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนถึงวันนัดหมาย ผู้เสียหายได้เดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว และได้พบนายลี พร้อมกับนางเอ้ (แฟนสาว) โดยนายลี ได้พาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว มีขั้นตอนการถ่ายรูป และสแกนรอยนิ้วมือเหมือนกับการทำบัตรประชาชนทั่วไป แต่ไม่มีการให้กรอกข้อมูลเอกสารใดๆ ซึ่งภายหลังผู้เสียหายทำตามขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นายลี จึงนำบัตรประชาชนที่ปรากฏรูปใบหน้าผู้เสียหายมามอบให้ พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้าน 1 ฉบับ (ซึ่งข้อมูลตามบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฏชื่อคนไทยคนเดียวกัน) จากนั้นผู้เสียหายจึงชำระค่าดำเนินการ โดยมอบเงินสด 1.1 ล้านบาท ให้กับนายลี
ต่อมาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน2565 ผู้เสียหายได้ตกลงให้นายลี ช่วยทำหนังสือเดินทางให้ ซึ่งนายลี ได้นัดหมายให้ผู้เสียหายมาทำหนังสือเดินทางที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. เมื่อมาถึง ได้มีกลุ่มชายไม่ทราบชื่อพาผู้เสียหายไปนั่งรอที่ร้านกาแฟภายในกรมการกงสุล จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย เข้ามาควบคุมตัวผู้เสียหาย และนำตัวผู้เสียหายไปที่ทำการแห่งหนึ่ง โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผู้เสียหายจะถูกดำเนินคดีเนื่องจากปลอมเอกสาร หากไม่อยากถูกดำเนินคดี ให้นำเงิน 5 ล้านบาท มาจ่าย
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายได้ต่อรองราคาจนกลุ่มผู้ที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ตกลงให้จ่ายเงิน 2 ล้านบาท จากนั้นจึงมีการให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล 55,555 USDT (เปรียบเทียบเป็นเงินไทย 2 ล้านบาท) เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล ตามหมายเลขที่จ้งไว้ ก่อนจะปล่อยตัวผู้เสียหาย และหลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว
ภายหลังการสืบสวนของตำรวจ กก.3 บก.ป.พบว่าในส่วนของการหลอกลวงผู้เสียหายให้ไปทำบัตรประชาชนนั้น มีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายกลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มผู้ชักชวนและดำเนินการพาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชน โดยกลุ่มนี้มีนายลี และนางเอ้ เป็นผู้ร่วมขบวนการ 2.กลุ่มจัดหาบัตรประชาชนที่จะนำมาสวมสิทธิให้กับผู้เสียหาย โดยจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบัตรประชาชนเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง และพบว่ามีการไปขอทำบัตรประชาชนใหม่หลังจากขายบัตรเพียงไม่กี่วัน จึงน่าเชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำในครั้งนี้ และ 3.เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีหน้าที่ทำบัตรประชาชน โดยเชื่อว่าน่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในการกระทำผิดของขบวนการดังกล่าว
ในส่วนของกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายคน ดังนี้ 1.คนชี้เป้า มีหน้าที่ระบุตำแหน่งและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้เสียหาย 2.กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย และ 3.เส้นทางการเงินจากการประทุษร้าย พบมีการผ่องถ่ายกันหลายทอด และถอนเงินออกที่บริษัทนอมินี จากการสืบสวนน่าเชื่อว่าคนในขบวนการเป็นผู้ชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบและเข้าทำการรีดทรัพย์ผู้เสียหายอีกทอดหนึ่ง
จากการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป.ยังพบข้อมูลประวัตินายลี มีหมายแดงติดตัวในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ชาวจีน มูลค่าความเสียหาย 3,000 ล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท) โดยนายลี ได้ก่อเหตุที่ประเทศจีน ช่วงปี 2558-2562 ก่อนจะหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 2564 ซึ่งระหว่างที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย นายลี ได้สวมบัตรหัวหน้าศูนย์ หรือบัตรขาว หรือบัตรบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ระบุชื่อเป็นนายจิน ชาวไทยลื้อ เพื่อให้ตนมีสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับคนไทย จากนั้นจึงนำรูปแบบวิธีการที่ตนเคยสวมบัตรขาว มาใช้ในการเปิดเพจพาคนจีน ทำเอกสารและบัตรประจำตัวต่างๆ นอกจากนี้ยังพบว่านายลี ได้ประกอบธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ที่บริษัท อันเจีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทดังกล่าว พบว่ามีการจดทะเบียนสถานที่จัดตั้งซ้ำกับบริษัทอื่นๆ อีก 14 บริษัท โดยบริษัทเหล่านี้มีกลุ่มคนไทย เป็นนอมินี ถือหุ้นบริษัทโดยไม่ได้มีการลงทุนหุ้นจริง
สำหรับกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจนทราบว่า ทั้ง 4 นาย ถูกจับกุมดำเนินคดีกรณีเรียกรับเงินสินบนจากชาวจีน 10 ล้านบาท เมื่อปี 2566 ซึ่งรูปแบบพฤติการณ์ในการก่อเหตุคล้ายกับคดีของผู้เสียหายรายนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนกลุ่มจัดหาบัตรประชาชน พบว่ามีนายหน้าทำหน้าที่จัดหาบัตรประชาชนของคนไทยมาเพื่อใช้ในการสวมบัตร ซึ่งผู้ที่ขายบัตรประชาชนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 5,000 บาท ทางตำรวจ กก.3 บก.ป.จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้เสียหาย
ต่อมาในวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ทางตำรวจ บช.ก.หรือ CIB จึงเปิดปฏิบัติการ “CIB Game on” รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน” โดยนำกำลังตำรวจกว่า 70 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้น 11 จุด ใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, เชียงใหม่, นนทบุรี, ชลบุรี และ กทม.โดยเป็นการตรวจค้นจับกุมเป้าหมาย 26 เป้าหมาย (บุคคล 24 ราย และบริษัท 2 บริษัท) ซึ่งในส่วนของเป้าหมายที่เป็นตัวบุคคลทั้ง 24 เป้าหมาย แบ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องเชิญตัวมาเพื่อซักถามปากคำ 18 ราย
ทั้งนี้ สำหรับผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 2 ราย คือนายลี และนางเอ้ พร้อมยึด ของกลางดังกล่าว ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.ดำเนินคดี เบื้องต้นให้การปฏิเสธ ส่วนผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 4 ราย ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พนักงานสอบสวนจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
015
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี