“วัชรินทร์“รองอธิบดีอัยการฯ และ DSI หารือปม7 ตร.จร.กลางทำร้ายร่างกายลูกอดีตตร.เจ็บสาหัส ระบุผิดพ.ร.บ.อุ้มหายฯมาตรา 5 แย้มเรียก"ผู้เสียหาย-ครอบครัว - จนท.เขตจตุจักร -ผู้บังคับบัญชาตำรวจจราจรกลาง“ ยืนยันจำผิดคันหรือถูกคัน เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายปชช.
วันที่ 7 มีนาคม 2568 ที่ห้องประชุม 3 ชั้น 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 134/2567 กรณีนายธนานพ เกิดศรี ซึ่งเป็นบุตรชายของ พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส. ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 01.40 น.พร้อมด้วยพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดี
โดยนายวัชรินทร์ เปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมคดีพิเศษ หลังจากที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำหน้าที่สืบสวนตั้งแต่วันเกิดเหตุ หลังจากนั้น 2-3 วันดีเอสไอก็ได้ไปเก็บพยานหลักฐาน จากการสอบสวนดังกล่าวเป็นการสอบสวนตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ดังนั้น จึงมีหน่วยงาน 2 หน่วยที่จะต้องรับผิดชอบในการสอบสวน ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานได้ทำหนังสือมาถึงสำนักงานอัยการสูงสุด โดยที่สำนักงานการสอบสวน ได้ประเมินเรื่องเสนออัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดได้เป็นผู้ชี้ขาดว่าให้ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนในคดีดังกล่าว ตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระของกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดสอบสวน จะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง ก็จะต้องมีพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด มาทำหน้าที่กำกับตรวจสอบสำนวนการสอบสวน อาทิ คดีเป้รักผู้การ หรือคดีลุงเปี๊ยก เป็นต้น
นายวัชรินทร์ เผยอีกว่า ในคดีที่ลูกชายอดีตตำรวจได้ถูก 7 ตำรวจจราจรก่อเหตุกระทืบจนได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ทางอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานอัยการมาทำหน้สที่ตรวจสอบกำกับสำนวนการสอบสวน โดยมอบหมายให้ตนเองเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ วันนี้จึงถือเป็นการประชุมครั้งแรก นอกจากนี้ ตนอยากเรียนให้ทราบว่า เนื่องด้วยคดีดังกล่าว อาจมีบางคนมองว่าคดีดังกล่าวควรเป็นอำนาจการพิจารณาของสำนักงาน ป.ป.ช. หรือไม่นั้น คำตอบคือ หากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และยังมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 นั้น ตามอำนาจแล้วมีหน้าที่แจ้งให้ ป.ป.ช. เพื่อทราบเท่านั้น โดยที่ ป.ป.ช. จะไม่ได้มีอำนาจในการไต่สวนเหมือนคดีทั่วไป กล่าวคือ ถ้าหากเป็นคดีทั่วไป เช่น เป็นคดีความผิดต่อเจ้าพนักงาน แต่ไม่มีความผิดความ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อันนี้จึงจะเป็นอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. แต่ถ้าเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ป.ป.ช. แล้วยังมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อันนี้จะไม่ใช่อำนาจของ ป.ป.ช. แต่จะเป็นอำนาจของตำรวจ หรือดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง สอบสวนได้เอง ซึ่งในเรื่องนี้อัยการสูงสุดได้มอบให้ดีเอสไอดำเนินการสอบสวน
นายวัชรินทร์ เผยต่อว่า ทางดีเอสไอได้มีการไปสอบสวนปากคำทางผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกาย และได้สอบปากคำทางบิดาผู้เสียหาย แฟนสาวผู้เสียหาย พี่สาวและน้องสาวผู้เสียหาย รวม 5 ราย และวันนี้เราได้มีการกำหนดกลุ่มพยานเพิ่มเติมที่จะต้องสอบปากคำ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แม้กระทั่งเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งจะเห็นภาพค่อนข้างชัดเจน โดยดีเอสไอจะไปทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ คือ เจ้าหน้าที่เขตจตุจักร ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุ และนอกจากจะสอบปากคำกลุ่มผู้เสียหายแล้ว เราก็จะต้องมีการสอบปากคำกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดูว่ามีใครปฎิบัติหน้าที่ในเวลานั้นบ้าง และแต่ละคนมีหน้าที่ทำอะไรในด่าน โดยจะเป็นการดูภาพจากกล้องวงจรปิดประกอบกัน และมุ่งเน้นการสอบสวนปากคำเพื่อให้เห็นพฤติการณ์การกระทำความผิดว่าจะมีใครเกี่ยวข้องนอกเหนือจากตำรวจ 7 ราย อีกบ้างหรือไม่ ซึ่ง ตำแหน่งยศร้อยตำรวจเอก จำนวน 1 ราย ยศสิบตำรวจเอก จำนวน 5 ราย และสิบตำรวจโท จำนวน 1 ราย แต่อาจต้องดูว่ามีระดับผู้บังคับบัญชาหรือใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพราะโดยหลักการแล้วลูกน้องมักจะต้องรายงานผลการปฎิบัติการไปยังผู้บังคับบัญชาให้รับทราบ จึงต้องมีการเชิญผู้บังคับบัญชามาสอบสวนปากคำด้วยว่ารับทราบหรือไม่ อย่างไร หรือลูกน้องไม่ได้มีการรายงาน หรือช่วยกันปกปิดหรือไม่
นายวัชรินทร์ เผยด้วยว่า เคสดังกล่าว ตำรวจได้มีการแจ้งการจับกุมมายังหน่วยงานเดียว คือ อัยการ แต่ไม่ได้แจ้งไปยังฝ่ายปกครอง ทั้งยังเป็นการแจ้งหลังเกิดเหตุไปแล้ว 3 วัน ทั้งที่สาระทางกฎหมายอุ้มหายฯ ได้กำหนดไว้ว่าต้องแจ้งการจับกุมทันทีต่อพนักงานอัยการและฝ่ายปกครอง ตนจึงอยากเน้นย้ำว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือดีเอสไอ เมื่อมีการจับกุมผู้ต้องหา หรือมีการควบคุมตัวผู้ต้องหา จะต้องมีการแจ้งการจับกุมทุกกรณีตามกฎหมายในมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มิฉะนั้นถือเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ อาจถูกพิจารณาในความผิดมาตรา 157
สำหรับการตั้งข้อสังเกตเรื่องที่ 7 ตำรวจ อ้างเหตุทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเข้าใจผิดนั้น ตนไม่ถือว่ามีผลใดทั้งสิ้นในทางคดี ซึ่งใช้เป็นคำกล่าวอ้างไม่ได้ เนื่องจากทางผู้เสียหายไม่ได้กระทำความผิดอะไร มีการเข้าด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ตามที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด หรือแม้กระทั่งถูกคันก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายหรือทรมานบุคคลใด เพราะสาระทางกฎหมายอุ้มหาย ได้มีการระบุระวางอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 5 ปี สูงสุด 15 ปี ดังนั้น จะผิดหรือถูกคัน เจ้าหน้ามี่ตำรวจไม่มีสิทธิ์อ้างในการไปทำร้ายร่างกายใคร ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้น ทั้ง 7 ตำรวจ อาจเข้าข่ายฐานความผิดมาตรา 5 เนื่องจากเป็นการกระทำอันตรายต่อร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ถึงขั้นกระทำย่ำยีละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
นายวัชรินทร์ ระบุต่อว่า ส่วนสำนวนคดีหลักที่มีการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 ราย ทราบว่าทางตำรวจ สน.บางเขน ได้มีการส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ซึ่งจริง ๆ ไม่ต้องส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช. เพราะเมื่อเกิดพฤติการณ์เกี่ยวกับกฎหมายอุ้มหาย สิ่งที่ต้องทำคือการแจ้ง ป.ป.ช. ให้รับทราบเท่านั้น วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้ทางดีเอสไอทำหนังสือถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อขอสำนวนดังกล่าวคืนจาก ป.ป.ช. มาดำเนินการ
นายวัชรินทร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การส่งสำนวนของ สน. บางเขน ไปยัง ป.ป.ช. มีความเป็นไปได้ว่าในตอนนั้น เจ้าพนักงานมองว่าเป็นเพียงความผิดตามกฏหมายของ ป.ป.ช. คือ ความผิดต่อเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่แม้ว่าดีเอสไอจะยังไม่ได้รับสำนวนคืนกลับมาจาก ป.ป.ช. แต่ก็ได้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว เพราะเมื่อรับเป็นคดีพิเศษแล้ว จะต้องมีการสอบสวนกลุ่มพยานใหม่อีกครั้ง และเราได้ตั้งกรอบการทำสำนวนว่าจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนนี้
ด้านนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม DSI เผยว่า ส่วนความคืบหน้าเรื่องร่างระเบียบว่าด้วยการช่วยเหลือ การเยียวยา และการฟื้นฟู ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันจากกฎหมายอุ้มหายนั้น ปัจจุบันนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรมเองได้มีการยื่นเอกสารและขอความเห็นชอบไปแล้ว ว่าเราอยากให้มีการออกระเบียบเพื่อที่จะได้มีการนำเงินมาเยียวยาผู้เสียหายและครอบครัวผู้เสียหาย ทั้งนี้ ให้คำยืนยันว่าเป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานที่เราต้องติดตามต่อไป แต่ก็ต้องอาศัยการพิจารณาของกระทรวงการคลังด้วยว่าจะมีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณในการใช้เยียวยาผู้เสียหายทั้งสิ้นกี่บาท และตกเคสละกี่บาท ส่วนเรื่องการขอรับการคุ้มครองพยานของทางฝั่งผู้เสียหาย ยังไม่ได้มีการแจ้งเรื่องขอมา เนื่องด้วยผู้เสียหายยังไม่พบพฤติกรรมการถูกข่มขู่คุกคาม แต่ถ้าผู้เสียหายถูกข่มขู่คุกคาม กรมสอบสวนคดีพิเศษก็มีมาตรการในการคุ้มครองพยานตามคำร้องแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี