จ่อหมายจับพ.อ.หญิง

เอี่ยวแก๊ง‘ทุจริตยา’

บิ๊กเต่าโร่สอบพยาน

เอาผิดทั้งขบวนการ

“บิ๊กเต่า” เผยเตรียมขอศาลออก “หมายจับ” พ.อ.หญิงเอี่ยวขบวนการทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก เร่งสอบผู้เกี่ยวข้องหาความเชื่อมโยง ผู้บงการ-รับผลประโยชน์ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีการทุจริตยาและเวชภัณฑ์ของ รพ.ทหารผ่านศึก ภายหลัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.ได้ระดมพนักงานสอบสวน บช.ก.เข้าดำเนินการ ว่าขณะนี้พนักงานสอบสวนได้มีการเข้าสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง ในฐานะพยาน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขยายผลไปให้ถึงกลุ่มผู้บงการและรับผลประโยชน์ ให้ได้ทั้งหมด จากนั้นจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อขยายผลการสอบสวนไปในกลุ่ม หรือพื้นที่อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน โดยมีราว 6-7 กลุ่ม ส่วนบุคคลในระดับสั่งการ หรือผู้รับผลประโยชน์ ขณะนี้พบข้อมูลบ่งชี้ถึงตัวนายทหารหญิง ยศ พ.อ.รายหนึ่ง แล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่ขออำนาจศาลออกหมายจับนายทหารรายหนึ่งแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดวันเข้ายื่นคำร้องต่อศาล ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ขณะนี้ยังยืนยันว่ามีข้อมูลเวชระเบียนทุกคนที่ร่วมขบวนการ ดังนั้นถ้าเข้ามาแสดงตัวก่อน ย่อมเป็นประโยชน์กับตัวเอง มากกว่าถูกออกหมายเรียกหรือหมายจับ

ด้าน พญ.จิตติมา ปรีชา ผอ.รพ.ทหารผ่านศึก เปิดเผยถึงกรณีของ พญ.รายหนึ่ง ที่พบข้อมูลบ่งชี้ความเกี่ยวข้องในขบวนการทุจิตในครั้งนี้ ว่านอกจากถูกดำเนินคดีตามกระบวนการทางคดีอาญา แล้ว ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ซึ่งจะเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณแพทย์ด้วยหรือไม่ เป็นอำนาจการพิจารณาของแพทยสภา และกระทรวงสาธารณสุข

สำหรับวันที่ 2 ของการสอบปากคำ เพื่อหาข้อมูลขบวนการทุจริตยาและเวชภัณฑ์ รพ.ทหารผ่านศึก ของเจ้าหน้าที่จาก 4 หน่วยงาน ซึ่งมีการสอบปากคำคนไข้ เครือข่ายสาย 1 ในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีคนไข้ที่ตอบรับหนังสือตามคำเชิญของพนักงานสอบสวน บก.ปปป.รวม 20 คน โดยคนไข้เหล่านี้เป็นกลุ่มคนไข้จริง ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค ทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน รวมถึงเจ้าหน้าที่ ปปท.เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช และเจ้าหน้าที่จากองค์การทหารผ่านศึก ส่วนกลาง ตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกัน

น.ส.พัชนี พูลสุข ผู้ที่เปิดโปงขบวนการทุจริตยาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับคนไข้ ใน จ.ลพบุรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน บก.ปปป.ได้สอบปากคำคนไข้ ในสาย 1 ไปได้ 40 คน ในวันเดียวกันนี้จึงเหลือคนไข้ตามหนังสือเชิญอีก 20 คน แต่ปรากฏว่าหลังจากติดตามข่าวจากสื่อมวลชน รู้สึกสบายใจมากขึ้นว่าจะถูกกันตัวไว้เป็นพยาน และไม่ถูกดำเนินคดี คนไข้ดังกล่าวจึงเดินทางมาให้ข้อมูลเพิ่มอีก 10 คน รวมสาย 1 จะเข้าให้ข้อมูลทั้งหมด 30 คน

อย่างไรก็ตาม คนไข้ที่อยู่ในเครือข่ายขบวนการทุจริตยาฯ สายอื่นๆ อีก 6 สาย เริ่มกังวลว่าหากไม่ให้ข้อมูลอาจจะถูกดำเนินคดีต้องตกเป็นผู้ต้องหาด้วย จึงตัดสินใจติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง และขอให้ข้อมูลโดยไม่ต้องรอให้ถูกออกหนังสือเชิญ เพื่อกันตัวเองออกจากคดี

ขณะที่ น.ส.เอ (นามสมมติ) เปิดเผยกับสำนักข่าวไทย ว่าแม่ของตนเอง มีอายุ 65 ปี ถูกชักชวนให้ไปรับยาที่ รพ.แห่งหนึ่งใน กทม.โดยอ้างว่ายาที่จะได้มีคุณภาพมากกว่ายาที่รับประจำจาก รพ.ในพื้นที่ ประกอบกับแม่มีโรคประจำตัว ทั้งเบาหวาน ความดันและไขมัน ทำงานหนักไม่ได้ ครอบครัวก็ยากจน ตนไม่สามารถจะพาแม่ไปเอง เมื่อมีผู้พาไป แม่จึงตัดสินใจไป แต่กลับถูกเอายาไปหมดแลกกับเงินค่ากับข้าว 1,000 บาท โดยผู้ที่นำยาไปอ้างว่าจะเอาไปให้คนที่ไม่มีโอกาสรักษา ทำให้แม่ตนรู้สึกเสียใจและไม่ยอมไปรับยาที่ กทม.อีก แม้คนชักชวนจะโทรศัพท์มาตามให้ไป 3-4 ครั้ง เหตุเกิดตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

น.ส.เอ เปิดเผยอีกว่า เมื่อได้รับหนังสือเชิญเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจ บก.ปปป.และมีข่าวตลอดทั้งวัน ทำให้แม่เครียดหนัก เมื่อคืนนอนไม่หลับ และมีอาการความดันสูง แต่ก็ยังอยากจะให้ข้อมูลเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ทั้งนี้ กำหนดเดิม พนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำคนไข้ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ให้แล้วเสร็จภายในวันเดียวกันนี้ แต่หลังจากมีคนไข้สมัครใจเข้าให้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น จึงต้องขยายเวลาออกไปอีก 1-2 วัน

วันเดียวกัน นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าฯ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.)กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจ บก.ปปป.เตรียมพิจารณาขออำนาจศาลออกหมายจับนายทหารยศ พ.อ.หญิง รายหนึ่ง ในขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยา รพ.ทหารผ่านศึก ว่าเรื่องนี้ตนอยากให้ดำเนินคดีกับข้าราชการทุกรายที่เกี่ยวข้อง แม้จะเป็นข้าราชการระดับสูง หรือเกษียณอายุราชการแล้ว โดยขอฝากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ที่ดูแล รพ.รัฐ ช่วยตรวจสอบระบบการจ่ายยาและการรักษาของ รพ.รัฐทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการทุจริตที่ทำกันเป็นขบวนการ รวมทั้งขอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบอย่างเข้มข้นจริงจัง เอาผิดขั้นเด็ดขาด ไม่มีละเว้น