“รับสมัครครู 2 อัตรา วุฒิปริญญาตรีเงินเดือน 6,000 บาท” โพสต์สั้นๆ ซึ่งเป็นประกาศรับสมัคร “ครูอัตราจ้าง” โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ถูกนำมาเผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊ก “ครูวันดี” ของเว็บไซต์ kruwandee.com ซึ่งรวบรวมข่าวสารในแวดวงการศึกษาและอาชีพครู และถูกสื่อมวลชนนำมาแชร์ต่อในวันที่ 25 ก.พ.2568 เรียกกระแส “ดราม่า” สังคมตั้งคำถามถึง “ความเหมาะสม” เพราะการจะเป็นครูต้องจบปริญญาตรี ในขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยของประเทศไทยคือมากกว่า 300 บาทต่อวัน งานนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่น เพราะเงินเดือนครูกลับได้น้อยกว่านั้นเสียอีก
และต้องบอกว่า “เรื่องแบบนี้มีให้เห็นอยู่เนืองๆ” อย่างย้อนไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2567 โรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับสมัครครูอัตราจ้าง เงินเดือน 3,000 บาท ก่อนจะออกประกาศยกเลิกในภายหลัง หรือในวันที่29 ต.ค. 2567 มีการชุมนุมประท้วงที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการ กลุ่มลูกจ้าง นำโดยสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ชุมนุมยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อหนึ่งในนั้นคือ “ขอเปลี่ยนจากการจ้างเหมาบริการ เป็นวิธีการจ้างลูกจ้างชั่วคราว” พร้อมเงินสมทบประกันสังคมทุกตำแหน่ง
“แรงงานข้ามชาติที่มาจาก MOU คุณไปดูสิทธิและสวัสดิการเหนือกว่าลูกจ้างเหมาส่วนราชการด้วยซ้ำ ผมไปพูดในรัฐสภา สัญญาจ้างทำของมันไม่ควรนำมาใช้แล้ว แล้วคุณคิดอย่างไร? จ้างคนแท้ๆ แต่ไปใช้สัญญาจ้างทำของ อันนี้มันคือความรู้ความสามารถของข้าราชการที่นั่งอยู่ตรงนั้น ว่าคุณมีวิสัยทัศน์มองคนมองการจ้างงานอย่างไร”
คำกล่าวของ บุญรอด สนเปี่ยม ประธานสหภาพคนทำงานภาครัฐแห่งประเทศไทย ในวงเสวนา “การขับเคลื่อนเชิงนโยบายการคุ้มครองลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานภาครัฐ” ที่ รร.เบย์ ถ.ศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 ตั้งคำถามกับ “วิธีคิด”ที่กลายมาเป็นนโยบาย ซึ่งเท่าที่เคยเจอมา บุคลากรกลุ่มจ้างเหมาบริการมี 2-3 กรณี ถึงขั้นฆ่าตัวตาย เส้นเลือดในสมองแตก
หรือมีครั้งหนึ่ง ไปเจอกรณีหน่วยงานระดับสำนักงานปลัดค้างจ่ายค่าจ้างพนักงาน 145 คน ต้องควักเงินส่วนตัวลงขันกันซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและไข่ไก่ไปเดินแจกตามห้องพัก “ที่ผ่านมาลูกจ้างภาครัฐไม่ค่อยมีเวทีให้พูด” ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ แก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จึงพูดอยู่เรื่องเดียวคือการแก้ไขสัญญาจ้าง และต้นเหตุของปัญหามาจาก 2 หน่วยงาน คือสำนักงาน ก.พ. กับกระทรวงการคลัง จึงย้ำว่า 2 หน่วยงานดังกล่าวต้องลงไปช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งลูกจ้างเหมาบริการและหน่วยงานของรัฐ
สุรพงค์ วิจิตรโสภา นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ กลุ่มงานพัฒนากฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า หากเป็นการจ้างลูกจ้างผ่านบริษัท เช่น หน่วยงานของรัฐต้องการจ้างคนขับรถ คนขับรถนั้นถือเป็นลูกจ้างของบริษัท อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ เวลาทำงาน ค่าจ้างที่ไม่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำ ทำงานนอกเวลาปกติได้ค่าจ้างล่วงเวลา (OT)
แต่ตำแหน่งงานเดียวกัน หากหน่วยงานของรัฐจ้างเองโดยตรง การทำสัญญาจ้างจะใช้สัญญาตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีเงื่อนไขอยู่ว่า ห้ามจ้างเป็นลูกจ้าง ทำให้ได้สิทธิประโยชน์น้อยลง เช่น คนขับรถที่ต้องทำงานในวันหยุด หากเป็นสัญญาจ้างแบบนี้ก็จะไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุด ซึ่งเรื่องนี้เป็นภาระของหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตามในส่วนของกระทรวงแรงงาน มีความพยายามขับเคลื่อนการแก้ไขเพื่อให้เกิดการดูแลแรงงานกลุ่มนี้
ซึ่งกระทรวงแรงงานทำได้อยู่ 2 มาตรการ คือ 1.เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีข้อสั่งการไปยังหน่วยงานต่างๆ ไปร่วมกันแก้ไขปัญหา เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. ให้ไปดูอัตรากำลังในส่วนที่เกี่ยวข้องว่าจะสามารถจ้างเพิ่มได้หรือไม่ การปรับแก้สัญญาจ้างให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ควรน้อยกว่าลูกจ้างของภาคเอกชนมากจนเกินไป อย่างเรื่องค่าจ้าง ไม่แน่ใจว่ามีหน่วยงานใดบ้างที่ยังไม่ถึงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะเมื่อเป็นสิทธิพื้นฐานก็ควรได้ กับ 2.เสนอแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพื่อให้ครอบคลุมลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานภาครัฐ
โดยในส่วนของการเสนอ ครม. เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ แต่ในระหว่างนั้น ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานที่กระทรวงแรงงานจัดทำขึ้นพร้อมพอดี จึงมาที่การเสนอกฎหมายโดยเน้นที่สิทธิขั้นพื้นฐานราว 7-8 เรื่อง เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ วันหยุด-วันลา ค่าจ้างล่วงเวลา ซึ่ง ครม. ก็อนุมัติในหลักการ แต่ก็มีร่างกฎหมายที่เสนอเข้ามาอีก 2 ฉบับ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) คือร่างของ วรรณวิภา ไม้สน จากพรรคก้าวไกล (ในขณะนั้น) กับร่างของ วรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ จากพรรคภูมิใจไทย
แต่เมื่อทางกระทรวงแรงงานเห็นร่างกฎหมายของตนเองคล้ายกับร่างที่ สส.พรรคภูมิใจไทยเสนอ จึงขอถอนเรื่องออกไป จากนั้นจึงมีการตั้ง กมธ. วิสามัญขึ้นมาพิจารณา ซึ่งจากการหารือกันในชั้น กมธ. มีหลักคิดอยู่ 2 อย่าง คือหากจะแก้ปัญหาลูกจ้างเหมาบริการในส่วนภาครัฐให้ถูกต้องที่สุด ต้องไปแก้ที่กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะจุดเริ่มต้นของการสัญญาจ้างเหมาบริการอยู่ที่การมองว่าเป็นการจ้างทำของ จึงต้องไปแก้ที่จุดนั้น แต่เมื่อหน่วยงานเจ้าของเรื่องไม่ผลักดันให้แก้ กระทรวงแรงงานจึงต้องมาผลักดันการแก้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
“กระทรวงแรงงานจะไปแก้ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างไม่ได้ แก้ได้เฉพาะ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพราะรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานรักษาการ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน อันนี้คือหลักการเสนอกฎหมายโดยหน่วยงานรัฐ แต่ถ้า สส. รวมตัวกัน 20 กว่าคน แก้ พ.ร.บ. ได้หมดเพราะท่านไม่ใช่รัฐมนตรีผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. นั้นๆ เพราะฉะนั้นกระทรวงแรงงานเริ่มแรกถึงรับเรื่องนี้มาแล้วก็จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน” สุรพงค์ กล่าว
สุรพงค์ กล่าวต่อไปว่า แต่เมื่อนำร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จาก กมธ. เข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2-3 เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2568 สรุปแล้วต้องดึงร่างกฎหมายกลับไปพิจารณาใหม่เนื่องจากมีการตัดมาตรา 3 ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกลุ่มจ้างเหมาบริการออกไป อีกทั้งมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระแรก หรือชั้นรับหลักการ ได้อนุมัติหลักการเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้ครอบคลุมแรงงานกลุ่มจ้างเหมาบริการภาครัฐด้วย ซึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้ท้วงติงว่าการที่ กมธ. ตัดออกไปนั้นขัดกับมติในชั้นรับหลักการ
บัณฑิต แป้นวิเศษ ตัวแทนมูลนิธิเพื่อนหญิง ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เล่าถึงการอภิปราย (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่...) พ.ศ... ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 ก.พ. 2568 ซึ่งจบลงด้วยการขอถอนร่างกฎหมายกลับไปแก้ไขก่อน ว่า บรรยากาศในวันดังกล่าวมีการถกเถียงกันอย่างหนัก มี สส. อภิปรายว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งของ สัญญาจ้างแบบจ้างทำของ ใช้ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ซึ่งการใช้ถ้อยคำแบบนี้ ความเป็นมนุษย์เป็นคนทำงานไม่ใช่สิ่งของ แต่โชคยังดีที่มาตรา 3 และหลักการไม่ถูกตีตก
ดังที่ นพ.ชลน่าน บอกว่า นี่เป็นการแก้ไขกฎหมาย ไม่ใช่การร่างกฎหมายฉบับใหม่ ดังนั้นหลักการที่สภารับรองมาให้ กมธ. ทำ เป็นเรื่องการแก้ไข ซึ่งที่มีการสื่อออกไปว่ามีการถอนร่างกฎหมาย จริงๆ ไม่ได้ถอนแต่เป็นการนำไปปรับแก้โดยให้คงหลักการเรื่องการคุ้มครองลูกจ้างตามสัญญาจ้าง ดังนั้นจึงยังคงมาตรา 3 ไว้อยู่ อีกทั้งอาจปรับแก้เพื่อนำการคุ้มครองตามมาตราต่างๆ ของกฎหมายคุ้มครองแรงงานเข้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อแก้ปัญหาของสัญญาเหล่านี้ ซึ่งหากทำได้ จะทำให้ลูกจ้างอีกกว่า 5 แสนชีวิตได้รับอานิสงส์
อนึ่ง กมธ. วิสามัญชุดนี้ โชคดีที่มีตัวแทนภาคประชาสังคมเข้าไปมากที่สุดตามโควตาของพรรคการเมืองต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือการขอข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมบัญชีกลางกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. เพราะเมื่อได้ข้อมูลไม่ครบจะมีบางประเด็นที่ไม่สามารถพิจารณาต่อได้ ส่วนที่น่าสนใจคือมีตัวแทนลูกจ้างเข้าไปให้ข้อมูล ซึ่งแม้จะเป็นลูกจ้างภาคเอกชนแต่ก็มองในมิติลูกจ้างภาครัฐด้วย ดังนั้นสิ่งที่ กมธ. กำลังพิจารณาอยู่ก็อยากให้ติดตามกันต่อ แต่หากเป็นไปได้ก็อยากให้มีลูกจ้างภาครัฐซึ่งไม่เฉพาะกลุ่มจ้างเหมาบริการ ช่วยกันไปส่งเสียงให้กำลังใจ
“ถ้าเราบอกว่าต้องไปปรับแก้ระเบียบ หรือสัญญาจ้างในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ก็ถูกล็อกโดยระเบียบพัสดุจากกระทรวงการคลังที่มีหนังสือวนไปมันก็ลำบาก อีกอย่างหนึ่งคือลูกจ้างท้องถิ่น หรือลูกจ้างหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา ที่เราเห็นชัดคือการที่เขาหมดสัญญาจ้างแล้วถูกลอยแพ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เห็นว่ากฎหมายฉบับนี้มันจะเข้าไปช่วยปรับแก้” บัณฑิต กล่าว
ที่มาที่ไปของการเกิดขึ้นของลูกจ้างเหมาบริการ ต้องย้อนไปในยุคสมัยที่ประเทศไทยกำลังดิ้นรนให้พ้นจากสภาพพังพินาศเพราะ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” หายนะทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2540 โดยในวันที่ 26 พ.ค. 2541 รัฐบาลขณะนั้นได้ออกมติ ครม. เห็นชอบมาตรการปรับขนาดกำลังคนภาครัฐลูกจ้างประจำ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ปรร.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปคือ “กำหนดให้ยุบเลิกตำแหน่งลูกจ้างประจำที่ว่างลงบางหมวด ให้ส่วนราชการใช้วิธีจ้างเหมาบริการสำหรับ งานบางประเภท และทบทวนว่าภารกิจใดยังจำเป็น ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกจ้างประจำ” รวมทั้งให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ ปรร. ศึกษาว่ามีงานประเภทใดควรใช้วิธีจ้างเหมาบริการเพิ่มเติมอีก แล้ว รายงานให้ ปรร. ทราบภายใน 3 เดือน
ในวงเสวนาครั้งนี้ ชัยยุทธ ชวลิตนิธิกุล คณะกรรมการกำกับทิศทาง สำนัก 9 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตั้งคำถามกับการออกมติ ครม. ดังกล่าวว่า“เลิกแล้วใครจะทำงาน? คนที่คิดเรื่องนี้ได้ศึกษาอย่างดีพอแล้วหรือยัง?” จนถึงปัจจุบันก็ยังตะแบงว่าเป็นการจ้างทำของ ไปใช้ระเบียบพัสดุ ใช้งบประมาณของตนเองที่เป็นหมวดค่าใช้สอย ค่าจ้างค่าตอบแทนอะไรทั้งหลายให้เปลี่ยนจากการซื้อของหรือจ้างทำของมาเป็นการจ้างคน
อย่างไรก็ตาม “ในการจ้างคนแบบจ้างทำของ ถามว่ามีการบังคับบัญชาคนคนนั้นหรือไม่?” เพราะหากมีการบังคับบัญชา ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ต้องมาทำงานตามวันที่กำหนด ต้องเซ็นชื่อลงเวลาทำงาน ดุด่าว่ากล่าวได้ แต่ทุกคนกลับปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ลูกจ้างของเรา คำถามว่าเขาเป็นใคร และเพราะแบบนี้เองทำให้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) บอกว่าเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน
นอกจากนั้น “ศาลยังเคยชี้ขาดแล้วในหลายกรณี” อาทิ “คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11987/2554” ว่าด้วยบริษัทเอกชนจ้างพนักงานขับรถในลักษณะสัญญาจ้างทำของ จึงไม่ได้นำลูกจ้างเข้าระบบประกันสังคม แต่ศาลชี้ว่า การที่บริษัทตกลงที่จะจ่ายค่าจ้างให้พนักงานขับรถตลอดเวลาที่ยังทำงานให้ โดยบริษัทมุ่งที่จะใช้การงานของพนักงานขับรถมากกว่าคำนึงถึงผลสำเร็จแห่งงานที่ทำ
พนักงานขับรถต้องทำงานภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของบริษัท โดยใช้ความรู้ความสามารถของตนเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับบริษัท และบริษัทมีอำนาจให้คุณให้โทษ เช่นว่ากล่าวตักเตือน พักงาน เลิกจ้าง เป็นต้น จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน และอยู่ในความหมายของคำว่า ลูกจ้าง นายจ้าง และค่าจ้างตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5
หรือ “คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7410/2562” เป็นกรณีบริษัทเอกชนฟ้องหน่วยงานภาครัฐ โดยศาลชี้ว่า แม้ข้อตกลงการจ้างเหมาบริการระหว่างหน่วยงานรัฐดังกล่าวกับ อ. จะระบุว่า การว่าจ้างตามข้อตกลงนี้ไม่ทำให้ผู้รับจ้างมีฐานะเป็นลูกจ้างของทางราชการ หรือมีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นลูกจ้างของผู้ว่าจ้างตามกฎหมายแรงงานก็ตาม แต่ข้อตกลงอื่นที่ระบุไว้ประกอบพฤติการณ์การมอบหมายงานซึ่งกำหนดเวลาทำงาน การสั่งการให้ อ. รับมอบหมายงานในแต่ละวันตามแต่ดุลพินิจของผู้ว่าจ้าง
ตลอดจนการควบคุมความประพฤติของ อ.ในระหว่างการปฏิบัติงานอันมีลักษณะการบังคับบัญชาให้ อ. ทำตามคำสั่งการของผู้ว่าจ้างโดย อ.มิได้ปฏิบัติงานอย่างอิสระ มุ่งเพียงผลสัมฤทธิ์ของงานดังเช่นการจ้างทำของแล้ว การจ้างเหมาบริการระหว่างจำเลยกับ อ. จึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงาน หาใช่เป็นการจ้างทำของ อ. จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างของหน่วยงานและเป็นเจ้าหน้าที่ตามความในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เมื่อ อ. กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐดังกล่าวซึ่งเป็นจำเลย ย่อมต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยตามมาตรา 5
“ส่วนใหญ่เป็นพนักงานขับรถ ไปขับรถชน เสร็จแล้วบริษัทประกันเขาก็รู้ว่าฟ้องเจ้าตัวไม่ได้อะไร ต้องฟ้องหน่วยงาน เขาฟ้องก็ได้ผลเลย หน่วยราชการต้องรับใช้ นี่เป็นตัวอย่างที่ต่อไปที่มีการฟ้องร้องอย่างนี้หน่วยงานราชการจะเห็นโลงศพ ท่านจะตะแบงต่อไปอีกไม่ได้แล้ว” ชัยยุทธ ระบุ
ชัยยุทธ ย้ำว่า “แม้จะเขียนในสัญญาว่าไม่ใช่นายจ้าง-ลูกจ้าง แต่ศาลไม่ได้มองแบบนั้น”เรื่องนี้เป็นประเด็น หน่วยงานอย่าง ก.พ. หรือกระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปล่อยเรื้อรังตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันผ่านมาแล้ว 27 ปีได้อย่างไร? ถามว่ามีคนต้องทุกข์ทรมานเท่าไร? บางคนว่า 5 แสนคน บ้างก็ว่า 7 แสนคน และ กสม. ก็เคยแจ้งไปแล้วตั้งแต่ปี 2553 แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร
มนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มติ ครม. เมื่อปี 2541 ทำให้ถูกตอนการจ้างลูกจ้างประจำ โดยให้หัวหน้าส่วนราชการสามารถจ้างคนได้ แต่ไม่ให้ทำเป็นสัญญาจ้าง ไม่ให้อยู่ในงบประมาณ ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายพื้นที่งบประมาณเพียงพอและผู้บริหารก็อยากจ้างคนโดยจ่ายสวัสดิการเต็มที่ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะติดมติ ครม. ดังกล่าว
หรืออย่างช่วงที่มีการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ มีการเขียนไว้ว่าการจ้างงานต้องไม่ด้อยไปกว่าสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายประกันสังคม แต่ไม่ได้บอกว่าใครจะมีอำนาจเข้าไปกำกับดูแล ผลก็คือค้างอยู่อย่างนั้น ยังมีการจ้างเหมาบริการเหมือนเดิม ทั้งนี้ เรื่องลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานภาครัฐเป็นสิ่งที่ตนขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนสื่อกระแสหลักไม่ค่อยนำเสนอซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เช่น เสนอข่าวครูผู้ช่วยเงินเดือน 9,000 บาท ได้ไม่นาน ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งหากสังคมเอาด้วยการขับเคลื่อนคงไม่เป็นแบบนี้
“ถ้ามติ ครม. ปี 2541 ถ้าเราสามารถให้เขาทบทวนได้ ผมคิดว่าการจ้างงาน เอามติ ครม. ให้กระทรวง ทบวง กรม องค์กรท้องถิ่น สามารถจ้างสัญญาจ้างได้ อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน อยู่ภายใต้ในเรื่องของประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน เพราะตอนนี้เราทำได้แล้ว เขาแก้ไขแล้วนะ หน่วยงานของรัฐเป็นนายจ้างแล้ว ตอนนี้พนักงานราชการ พนักงานหน่วยงานของรัฐเข้าอยู่ในเงินทดแทน เราถก กมธ. ว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นนายจ้าง ในที่สุดต้องยอมรับ รัฐบาลก็คือนายจ้าง จึงตั้งงบประมาณเอาเงินตรงนี้ส่งกองทุนเงินทดแทน” มนัส กล่าว
ย้อนไปในเดือน พ.ย. 2562 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยเผยแพร่รายงานผลการประชุม กสม. ด้านคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนวันที่ 13 พ.ย. 2562 ซึ่งหยิบยกปัญหาลูกจ้างเหมาบริการมาพิจารณาอีกครั้ง โดยระบุว่า กสม. เริ่มได้รับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่ปี 2549 และเคยเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ไขตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ยังไม่มีการแก้ไขและยังมีเรื่องร้องเรียนต่อเนื่อง
“ลักษณะการปฏิบัติงานของพนักงานจ้างเหมาบริการเหมือนกันกับการปฏิบัติงานของข้าราชการและลูกจ้างชั่วคราว กล่าวคือพนักงานจ้างเหมาบริการต้องมาทำงานตามวันเวลาราชการ ต้องปฏิบัติงานอื่นตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย อันมีลักษณะการจ้างที่เป็นไปตามสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ได้รับสิทธิในสวัสดิการต่างๆ ทั้งยังถูกหักเงินค่าจ้างในกรณีที่ไม่มาปฏิบัติงานด้วย” รายงานของ กสม. ระบุ
รายงานของ กสม. ยังกล่าวด้วยว่า “การจัดจ้างพนักงานจ้างเหมาบริการในรูปแบบสัญญาจ้างทำของจึงเป็นการอำพรางสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นนิติสัมพันธ์ที่แท้จริง” ซึ่งสอดคล้องกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.349/2556 ลงวันที่ 3 พ.ค. 2556 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.531/2557 ลงวันที่ 20 ต.ค. 2557 ส่งผลให้พนักงานจ้างเหมาบริการไม่ได้รับการคุ้มครองในฐานะลูกจ้าง อันกระทบต่อสิทธิของบุคคลในเรื่องการประกอบอาชีพตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้
การจ้างพนักงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานรัฐจึงเป็นการผลักภาระให้บุคคลมิได้รับสิทธิในสวัสดิการขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกับข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐ “ขัดกับหลักการที่บุคคลควรได้รับค่าตอบแทนเท่าเทียมกันในงานลักษณะเดียวกัน (equal pay for equal work)” และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ข้อ 7 ที่ให้การรับรองสิทธิของทุกคนที่จะมีสภาพการทำงานที่ยุติธรรมและน่าพึงพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันสำหรับงานที่มีคุณค่าเท่ากัน
คงต้องฝากผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่า “ฝ่ายนิติบัญญัติ” หรือ “ฝ่ายบริหาร” จะแก้อย่างไรก็ขอให้แก้โดยเร็ว เพื่อให้เกิด “ความเป็นธรรม” กับคนทำงานที่เป็น “ฟันเฟืองขับเคลื่อนกลไกภาครัฐ” อย่างเท่าเทียม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี