การสอนภาษาไทยให้คนไทยเข้าใจว่ายากแล้ว การสอนภาษาไทยให้คนต่างชาติเข้าใจเป็นเรื่องที่ยากกว่า แต่เขาทำได้และทำได้ดี ถึงขนาดมีรางวัล “สอนดี” การันตีความสามารถ ผศ.ดร.เทวากร คำสัตย์ หัวหน้าภาควิชาภาษาไทย Nanjing Tech University Pujiang Institute อาจารย์สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ผู้ที่ใช้คำดูถูกเป็นยาชูกำลัง และยกให้ความอดทน คือหนทางสู่ความสำเร็จ!
“เป็นเด็กชายดื้อๆ ซนๆ ชอบเป็นจุดสนใจ ชอบอะไรที่มันสนุกๆ พอ ม.ปลาย ก็เป็นเด็กหลังห้อง กิจกรรมเด่น เรียนเก่งบางรายวิชา ซึ่งวิชาที่จะได้เกรด 4 ก็คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาไทย และประวัติศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นๆ ก็ต้องบอกว่า ได้หนึ่ง สอง มาโดยตลอด” คำบอกเล่าของ “อ.แท็ค” ผศ.ดร.เทวากร คำสัตย์ ศิษย์เก่าสาขาวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร วิทยาลัยศิลปศาสตร์ ชวนให้ย้อนวันวานกลับไปยังวัยเยาว์
และด้วยความแสบแบบวัยรุ่นต่างจังหวัด ณ เวลานั้น ติดตัวเขามาจนกระทั่งเข้ามาเป็นเฟรชชี่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต กระทั่งกลายเป็นรุ่นพี่ปี 2 ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้องจึงปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ และกลายเป็น“เทวากร” เวอร์ชั่นนักกิจกรรมเต็มตัวที่ช่วยคณะแบบทุ่มสุดแรง และรู้ตัวว่า “อยากเป็นครู”
“ชอบกิจกรรมมากเลย ถ้าเกิดว่ามี 10 คะแนน ผมให้กิจกรรมไปแล้ว 9 คะแนน ชอบตั้งแต่ปี 1 ชอบวันแรกที่มีรุ่นพี่เรียกประชุมเชียร์ ชอบที่มีพี่วินัย พี่ว้าก ผมอาจจะเป็นโรคจิตบางอย่างที่พอเห็นกิจกรรมเหล่านี้จะพุ่งเข้าใส่เลย พี่อยู่ดึกแค่ไหน ผมก็อยู่ดึกแค่นั้น แต่พอขึ้นปี 3 ก็ปรับตัวนิดหนึ่ง กลับมาตั้งใจเรียน ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะเรียนนิเทศฯ ม.รังสิต แต่เพื่อนๆ ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นกันหมด ผมก็ตามเพื่อนไปเรียนญี่ปุ่นด้วย 1 ปี พออยู่ชั้นปีที่ 2 ก็รู้สึกว่าอยากจะสอนน้องๆ ชอบสอน ชอบถ่ายทอดความรู้ ชอบเล่าเรื่อง ก็เอ๊ะ! หรือว่าเราชอบเป็นครู ซึ่งตอนนั้นก็มีสาขาที่สามารถจบไปเป็นครูได้ ก็คือสาขาภาษาไทย และจริงๆ ผมน่าจะชอบภาษาไทยมาตั้งแต่ ม.ปลาย เพราะชอบแต่งกลอน แล้วก็ได้เกรด 4 วิชาภาษาไทยมาตลอด”
เรามีความรู้สึกว่า ม.รังสิต เป็นบ้านไปแล้ว ไม่มีวันไหนที่ไม่มีความสุขเลย ตลอด 4 ปี ที่นี่เป็นเซฟโซนของผม” แม้จะรักและผูกพันกับสถาบันแค่ไหน แต่สุดท้าย “นายเทวากร” ก็ตัดสินใจก้าวออกไปสู่โลกอีกใบ สู่บ้านหลังใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
“เรียนจบ 1 เดือน ผมก็ไปเป็นครูที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟเมืองเอก แต่ยังมีแอบกลับมาประชุมเชียร์ แอบมาช่วยน้องๆ ดูแลงานกิจกรรมอยู่ สุดท้ายก็มีโอกาสได้กลับมาทำงานที่วิทยาลัยศิลปศาสตร์ เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนวิชาการ แล้วก็กลับมาช่วยทำงานกิจกรรมของคณะเหมือนเดิม ทำอยู่ 5 ปีถึงได้สานฝันตัวเองไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย”
เพราะยังทำตามความฝันไม่สำเร็จพี่แท็คของน้องๆ ศิลปศาสตร์ในวันนั้นจึงเดินหน้าหาประสบการณ์ ด้วยการโบกมือลาบ้านหลังที่ 2 พร้อมกับเดินในเส้นทาง “อาจารย์สอนภาษาไทย” อย่างที่ตั้งใจ
“จริงๆ แล้วไม่อยากออก แต่ตอนนั้นไปเรียนปริญญาโท สาขาไทยศึกษา แล้วก็มีแขนงด้านการสอนภาษาไทยให้กับคนต่างชาติ แล้วมีอาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ ให้ผมไปเป็นผู้ช่วยสอนวิชาวิถีไทยให้กับคนจีน จากมหาวิทยาลัยครูกว่างซี สอนทั้งหมด 2 เทอม แล้วมีความรู้สึกว่าสนุก มีความสุขจังเลย ผมเลยอยากจะไปเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับคนต่างชาติ ประจวบกับที่เรียนจบปริญญาโทพอดี แต่เรายังไม่มีประสบการณ์ จึงตัดสินใจไปสมัครงานที่สถาบันอื่น ก็คือสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งมีสอนปริญญาตรีและมีคนจีนมาเรียนด้วย เลยตัดสินใจไปลองดู”
หลังจากสอนอยู่ที่ปัญญาภิวัฒน์ได้ 8 เดือน อ.แท็ค ก็ได้รับโอกาสให้ไปสอนหนังสือที่ต่างประเทศ เป็นอาจารย์แลกเปลี่ยนที่ครองใจนักต่างศึกษาจีนและเกาหลี หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน “ดร.เทวากร” เดินทางในสายอาจารย์สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ มากว่า 8 ปี
“อยู่ PIM หรือปัญญาภิวัฒน์ 8 เดือนเท่านั้น ก็ได้เป็นอาจารย์แลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยภาษาและกิจการต่างประเทศกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเรื่องการสอนภาษาไทย ไปสอนที่นั่นอยู่ 1 ปีครึ่งหลังจากนั้นยังไม่ทันได้กลับไทย ก็ไปสอนที่ภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยปูซานภาษาและกิจการต่างประเทศ ที่เกาหลีใต้ พอกลับจากเกาหลีใต้ประมาณ 3-4 เดือน ผมก็เดินทางไปสอนที่ภาควิชาภาษาไทย สถาบันผู่เจียง แห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงเทค ประเทศจีน ตอนนี้ก็อยู่ที่ผู่เจียง มา6 ปีแล้ว ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาภาษาไทยด้วย”
เส้นทางของ “อาจารย์แลกเปลี่ยน” อาจดูดีในสายตาคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่ง อ.แท็ค เล่าว่า ตอนแรกกลัวมาก เพราะประสบการณ์ก็ยังมีไม่มาก และเท่าที่ทราบมาอาจารย์ที่ไปแลกเปลี่ยนที่นั่นส่วนใหญ่จะมาจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชั้นนำ เป็นผู้ที่มีตำแหน่งทางวิชาการ ก็รู้สึกกังวลอยู่พอสมควร แต่ก็ถามใจตัวเองว่า ถ้าเราไม่ไปในครั้งนี้ โอกาสนี้ก็จะไม่กลับมาอีกแล้วนะ อย่างน้อยไป ถ้าผิดพลาดก็จะเป็นประสบการณ์ให้กับเรา หากประสบความสำเร็จก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้พัฒนาตัวเองต่อไป
“ครั้งแรกที่สอน กลัวมากมือสั่น เหงื่อแตกไปหมดเลย เพราะมีอาจารย์ชาวจีนที่รู้ภาษาไทย ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่เคยมาแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ประเทศไทยบ่อยครั้ง ไปนั่งฟังเราสอน เราก็สอนแบบเกร็งๆ เครียดๆ เด็กจีนก็รู้สึกอึดอัดพอสมควร ก็ต้องบอกเลยว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการสอน เพราะเราเกร็งเกินไป
วันที่สองเอาใหม่ ปรับเอากิจกรรมที่ตัวเองเคยทำละลายพฤติกรรมด้วยเพลงไก่ย่างถูกเผา ตุ่มใส่น้ำ ชวนเต้น เด็กจีนก็รู้สึกสนุกดีนะ เรียนภาษาไทยกับคนไทยหลังจากนั้นก็นำลักษณะของเกมกิจกรรมเข้าไปสอดแทรกในการสอนกลายเป็นห้องเรียนที่มีความสุขมาก เพราะปกติที่จีนจะสอนแบบขงจื๊อ เอามือไพล่หลัง ท่องหนังสือ จะไม่ค่อยเน้นกิจกรรมมากเท่าไหร่ ก็เป็น Active Learning รุ่นแรกๆ ของปี 2559”
สำหรับอาจารย์ที่สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ เราจะไม่สอนให้ลูกศิษย์พูดภาษาไทยแบบคนที่ไม่ได้เรียนรู้ภาษาไทย เราต้องให้คนจีนพูดออกเสียงตามฐานกรณ์ให้เหมือนกับคนที่เรียนจริงๆ พยายามที่จะออกเสียงให้เหมือนกับคนไทยให้มากที่สุด เพราะเวลาจบมาทุกคนคาดหวังกับเขา เพราะเขาเรียนวิชาเอกภาษาไทย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่กดดันมาก และสิ่งที่กดดันที่สุดก็คือนักศึกษาจีนจะต้องเขียน IS เป็นภาษาไทย อย่างน้อย 30 หน้า เราคนไทยเขียนภาษาต่างประเทศยังกังวลว่าจะเขียนผิดเขียนถูก แล้วภาษาไทยก็ไม่ได้มีแอปพลิเคชั่นที่เสถียรมากนัก เด็กๆ จะต้องเขียนให้ได้ แล้วเราก็ต้องเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาก็กลัวว่าเด็กจะเขียนไม่ได้
การตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ เดินทางสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะ “อาจารย์แลกเปลี่ยน” ถือเป็นจุดพลิกผันสำคัญของชีวิต ที่มาพร้อมความท้าทาย และการพิสูจน์ตัวเอง “เป็นอาจารย์แลกแปลี่ยนก็มีคำถามมากมาย หนึ่ง เขาก็ Question เรื่องความรู้ สอง Question เรื่องสถาบัน สาม ยังเด็ก อายุน่าจะ 26-27 ได้ ตอนนั้นเครียดมาก เพราะเราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น อ่านหนังสือทุกวัน หยิบหนังสือทุกเล่มที่
จีนมี อ่านทุกอย่าง ถ้าไม่อ่านทักษะความเป็นครูมันไม่มี พอสอนแบบ Active Learning ตอนแรกเขาก็บอกว่า คนจีนเขาไม่ทำแบบนี้ อาจารย์ดูเป็นตัวตลก ตอนนั้นไม่ค่อยมีโมเดลก็พยายามวางแผน ทำเป็น Mind Map ว่า เราเริ่มต้นจากตรงนี้เป็นเมนไอเดีย แล้วจะต่อยอดเป็นอะไรได้บ้าง แล้วกิจกรรมที่ทำให้ชั้นเรียนก็ต้องได้ความรู้อะไรแฝงไปด้วย เช่น วันไหนเด็กรู้สึกเบื่อๆ ผมเอาลูกโป่งมาลูกหนึ่ง ให้เด็กตีลอยในอากาศ ให้เด็กคิดคำศัพท์ภาษาไทยอะไรก็ได้ที่อยู่ในหมวดหมู่ เหมือนที่เราเล่นเกม ใครทำร่วงก็ถูกทำโทษทุกครั้งในห้องเรียนของผมจะไม่มีใครได้นอนหลับ ผมจะทำให้ห้องเรียนของผม เป็นห้องเรียนที่มีชีวิตตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกว่า ดีใจทุกครั้งที่จะมาเจอเรา เหมือนมาร่วมเล่นเกมกับเรา มาสนุก
ด้วยกัน”
การเริ่มต้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมักจะยากเสมอ แต่สุดท้ายวิธีการสอนที่อาจารย์ด้วยกันไม่เคยทำ ลูกศิษย์ไม่เคยเรียน ก็ได้รับการยอมรับ
“ตอนแรกก็จะมีห้องอื่นรู้สึกว่าสอนแล้วมันเสียงดัง เด็กๆ เจี๊ยวจ๊าว จะได้ประโยชน์เหรอ หรือมีคนถามว่า สอนแบบนี้ สนุกแป๊บเดียว เด็กๆ หัวเราะ ออกมาจากห้องเรียนความรู้อาจจะไม่เหลือแล้ว ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์พอสมควรเหมือนกัน พยายามที่จะทำทุกวันให้มันดีที่สุด แล้วก็จะวางแผนก่อนการสอนทุกครั้ง ใช้เวลา 1 เทอมก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า การสอนแบบแอ๊กทีฟมันได้ประโยชน์จริงๆ เด็กแฮปปี้ ฟีดแบ๊กออกมาดี คะแนนเด็กออกมาดี ที่จีนมีนโยบายจะปรับเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นว่าใครทำแบบนี้”
ก่อนที่ “อ.แท็ค” จะมายืนหน้าห้องเรียน สอนภาษาไทยให้นักศึกษาต่างชาติ ให้อาจารย์ด้วยกันยอมรับ “เทวากรสไตล์” เขาต้องเจอกับคำสบประมาท “คนอย่างเทวากรน่ะเหรอจะไปเป็นครู” แต่เขาพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์ โดยเปลี่ยนคำดูถูกนั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตสู่ความสำเร็จ
“ผมเอาคำนั้นไปพัฒนาตัวเองดีกว่า โกรธเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำให้ตัวเองดีแล้วกัน ให้วันหนึ่งเขายอมรับ แล้วในวันนี้ก็ไม่มีใครว่าเราแล้ว ถ้าไม่มีคำนั้น เราก็อาจจะไม่พยายาม อาจจะเป็นลูกหม้อรังสิต แต่ในวันนี้กลายเป็นเราไปยืนตรงอื่นก็ได้นะ แล้วกลับมาตอบแทนมหาวิทยาลัยในมุมอื่น ไม่จำเป็นต้องมาสอนที่นี่”
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าได้ทำงานที่ชอบก็เหมือนเราไม่ได้ทำงาน” แต่การทำงานแม้เป็นสิ่งที่เราชอบ ก็มักจะมีปัญหาให้ต้องแก้ไขเสมอ ดังนั้น เวลาเจอปัญหาใหญ่ๆ ตอนแรกก็จะตื่นเต้น สักพักพอเราได้สติ ก็จะรู้ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่มันอยู่ที่เรามอง ถ้าเรามองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องอื่น เคยมีร้องไห้ข้างถนนเลย ที่ไปอยู่จีน ทำงานกับคนจีนไม่รู้เรื่อง ร้องไห้แป๊บเดียวก็หาย อีกวันก็กลับไปไก่ย่างถูกเผา ไปสอนภาษาไทยใหม่ เป็นคนที่เหนื่อยแป๊บเดียว สุดท้ายก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ทุกครั้ง ผมมองว่าถ้าผมทุกข์ ความทุกข์นั้นมันก็ถูกแผ่กระจายออกไปสู่ลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมงานก็จะทุกข์แป๊บเดียว ใช้ชีวิตให้สนุกทุกวันดีกว่า
เพราะเอาความเป็นนักศึกษามาใส่ในตัวเอง อ.แท็คจึงรู้วิธีดึงความสนใจจากเหล่านักศึกษาที่ไม่อยากคร่ำเคร่งกับการเรียน ด้วยการสอดแทรกเรื่องเล่าในวีถีชีวิตประจำวัน เล่าตำนานเล่าที่มา รวมถึงการนำเกมกิจกรรมมาทำให้ห้องเรียนคึกคัก
“ผมได้รางวัลการสอนดีเด่นของกระทรวงศึกษาธิการจีน เพราะจีนไม่เคยมีแอ๊กทีฟเลิร์นนิ่ง สอนแบบ Action สอนแบบให้แต่งประโยค ให้ไป
สถานที่ กระโดดไปโน่นไปนี่ เขาถามว่าเรียนจบจากที่ไหน ก็บอกจบรังสิต เขาก็โอ้! คนจีนมอง ม.รังสิต เป็นมหาวิทยาลัยชั้นดี ที่จีนไม่มีปัญหาเลย”
ถึงจะมีประสบการณ์สอนไม่มากแถมอายุก็ยังน้อย และไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยอีลิท แต่ “อ.แท็ค” ก็ได้รับการยอมรับระดับประเทศ มีรางวัลการันตีความสามารถ ที่สำคัญเป็น “คนไทย” คนเดียวในภาควิชาภาษาไทย และได้เป็นหัวหน้าภาคที่ดูแลทั้งด้านบริหาร การสอน วางหลักสูตร
“นอกจากวางหลักสูตรแล้วก็ต้องออกไปทำความร่วมมือ แล้วก็ต้องเขียนบทความปีละ 5 เรื่อง ต้องทำหลายอย่างครับ ต้องสู้เยอะ ทั้งประเทศจีน น่าจะเป็นผมคนเดียว และน่าจะเป็นคนแรกที่เป็นหัวหน้าภาคซึ่งเป็นคนต่างชาติ ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมพลังกันทำให้ภายใน 6 ปี ชื่อเสียง ม.ผู่เจียง ขึ้นไประดับแถวหน้า ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นทั้งหมด อยากพิสูจน์ตัวเอง ไม่อยากให้คนมาดูถูก” อ.แท็ค กล่าวและว่า ตอนนี้พยายามทำหนังสือ พยายามเขียนบทความวิจัย บทความทางวิชาการ ไปในประเทศจีน หรือว่าต่างประเทศ และยังสนุกที่จะบริหาร ดูแลภาควิชา ดูแลหลักสูตรปริญญาตรี มันมีความท้าทายอะไรบางอย่างที่คนไทยต้องเข้าไปผลักดันนโยบายต่างๆ กับกระทรวงศึกษาธิการจีน
พอรุ่นแรกที่ผมไปช่วยดูแลหลักสูตรตั้งแต่ต้น เรียนจบ รับปริญญาใส่ชุดครุย ผมน้ำตาไหลไม่หยุด มีความรู้สึกว่าเราสร้างเด็กจีนรุ่นแรกที่เขาไม่รู้เลยว่า มาเรียนกับเรา เขาจะได้อะไรไหม พ่อแม่เขาเอาความหวังมาฝากไว้กับเรา 4 ปี วันหนึ่งลูกเขาเรียนจบ มันมีความรู้สึกว่านี่มันผลงานที่เราสร้างมา เราเลี้ยงเขามา พอปี 4 เขาพูดภาษาไทยได้ทุกคน แต่ก่อนเคยถามลูกศิษย์ว่า ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาไทย บางคนบอกชอบภาษาไทยอยู่แล้ว แต่กลุ่มใหญ่บอกว่าไม่รู้จักภาษาไทยด้วยซ้ำ คะแนนเกาเข่าถึงก็เอาไว้ก่อน เพราะว่ากลัวจะสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย แต่พอเขาจบปี 4 เขารักประเทศไทย เขาพูดภาษาไทยได้ เขาเลือกที่จะมาต่อปริญญาโทที่ประเทศไทย หรือมาทำงานด้านภาษาไทยเรามีความรู้สึกว่า เราได้ช่วยเผยแพร่ความเป็นไทยไปสู่คนต่างชาติ ได้เผยแพร่ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย
“กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ได้เจอแต่ความงดงาม เบื้องหลังเจอปัญหามาก ต้องพิสูจน์ตัวเอง มีคนดูถูก มีคนที่ไม่ยอมรับเราเลยตั้งแต่ต้น เพราะว่าบุคลิกเราดูเด็ก ทำอะไรก็ดูเหมือนเยาะแหยะ อีกทั้งคนที่สอนภาษาไทยในสายนี้ก็จะไม่ค่อยเน้นกิจกรรมมาก ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า สิ่งที่เราทำมันได้ประโยชน์จริงๆ ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่อดทนมาก เป็นนักสู้คนหนึ่ง แล้วก็เป็นนักสู้แบบบ้านๆ ด้วยนะ” ผศ.ดร.เทวากร กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี