เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้มีคำสั่งในชั้นไต่สวนคดีแบบกลุ่ม กรณีปลาหมอคางดำซึ่งแพร่พันธุ์เข้าไปในพื้นที่ทำการประมงของชาวบ้านทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งคณะทำงานของสภาทนายความฯฝ่ายคดีสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มให้กับประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เสียหาย โดยศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งในชั้นไต่สวนการดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยอนุญาตให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มโดยจำกัดขอบเขตการเป็นสมาชิกกลุ่ม
ซึ่งตามเนื้อข่าวดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับกฎหมายหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นหลักกฎหมายและวิธีการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ซึ่งการดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้นอาศัยหลักคือตัวแทนสมาชิกกลุ่มจะต้องมีความพร้อมและมีศักยภาพในการดำเนินคดีแทนผู้เสียหายซึ่งตัวแทนสมาชิกกลุ่มอาจจะมีตั้งแต่ 1 คนเป็นต้นไป โดยในทางปฏิบัติมักจะให้มีตัวแทนกลุ่มตั้งแต่ 4-5 คนขึ้นไป เพื่อป้องกันปัญหาการล็อบบี้ หรือการถอนตัวของตัวแทนสมาชิกกลุ่มในระหว่างดำเนินคดี ซึ่งในการฟ้องคดีนั้น ผู้เสียหายทั้งหมดไม่จำเป็นต้องมาศาลเพื่อเบิกความเป็นพยานต่อศาลหรือเป็นคู่ความก็ได้ โดยอาศัยตัวแทนสมาชิกกลุ่มซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีในการดำเนินคดี หากต่อมาศาลได้ตัดสินให้โจทก์ชนะคดี และกำหนดค่าเสียหายแล้วหากสมาชิกกลุ่มซึ่งเข้าเกณฑ์ในประเภทของกลุ่มที่ศาลได้กำหนดแล้วสามารถยื่นคำขอชำระเงินต่อกรมบังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้ามาเป็นคู่ความในคดีเหมือนดั่งคดีแพ่งสามัญ
ประเด็นการรับพิจารณาเป็นคดีแบบกลุ่มแบบกำหนดขอบเขต ซึ่งในการดำเนินคดีแบบกลุ่มในประเทศไทยนั้นมีคำสั่งทำนองนี้ออกมาหลายคดีไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวกับ การคุ้มครองผู้บริโภคในประเด็นเกี่ยวกับสินค้า รถยนต์ชำรุดบกพร่อง การฟ้องคดีแบบกลุ่มอันเกิดจากการละเมิดและก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับบ่อขยะ การฟ้องคดีแบบกลุ่มอันเกิดจากการรั่วไหลของสารเคมีกรณีเหมืองทอง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นนั้นศาลล้วนมีคำสั่งในทำนองเดียวกันคือ กำหนดขอบเขตการเป็นสมาชิกกลุ่มไว้ในคำสั่ง นั่นหมายความว่าพื้นที่อื่นนอกเหนือจากเขตที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีแล้ว ไม่ถือว่าเป็นสมาชิกกลุ่มในคดีดังกล่าว แต่ก็ไม่ตัดสิทธิ์ให้ผู้เสียหายในท้องที่อื่นหรือจังหวัดอื่น จะใช้สิทธิ์ทางศาลในการยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มในข้อหาเดียวกันและไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำอีกด้วย
ประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีกรณีเอเลี่ยนสปีชีส์ในประเทศไทยนั้น ยังหาข้อมูลได้น้อยมาก นั่นหมายความว่าการดำเนินคดีแพ่งที่เกี่ยวกับความเสียหายจากเอเลี่ยนสปีชีส์นั้นกรณีปลาหมอคางดำอาจจะเป็นกรณีแรกในประเทศไทย เนื่องจากในอดีตการพิสูจน์ทราบเกี่ยวกับการแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำ รวมทั้งระบบนิเวศอื่นนั้น ในสมัยก่อนอาจจะทำได้ยาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์นั้นสามารถตอบโจทก์ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในระดับที่ดีขึ้น โดยในส่วนข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับเอเลี่ยนสปีชีส์นั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ทั้งในมาตรา 64 และ 144ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา ส่วนการดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้นเป็นการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งหมายถึงการดำเนินคดีแพ่งนั่นเอง ซึ่งการดำเนินคดีแพ่งนั้นจะอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องของละเมิดประกอบกับ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ.2535
แม้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้จะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มแล้วก็ตาม แต่ในขั้นตอนทางกฎหมายฝ่ายจำเลยยังมีสิทธิ์อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวได้ ซึ่งข้อเสียของการดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้น กว่าจะถึงวันนัดสืบพยานจะมีขั้นตอนทางกฎหมายหลายขั้นตอน ไม่เหมือนคดีแพ่งสามัญแต่เมื่อยุติแล้วว่าศาลรับดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้วการสืบพยานก็จะสั้นลง ไม่ต้องพาผู้เสียหายหลายร้อยรายเข้ามาเบิกความในชั้นศาลเหมือนดังเช่นคดีสิ่งแวดล้อมในสมัยก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี