‘ซูเปอร์โพล’เผยผู้ปกครองห่วง‘บุหรี่ไฟฟ้า’ระบาดกลุ่มเยาวชน ชง 5 แนวทางจัดการ
23 มีนาคม 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ความกังวลของผู้ปกครองต่อบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 1,190 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 18 – 22 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
เมื่อสอบถามถึงความกังวลของผู้ปกครองต่อการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.8 กังวล ในขณะที่ร้อยละ 7.2 ไม่กังวล นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงประเด็นสำคัญของความคิดเห็นผู้ปกครองต่อการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.1 ระบุ เด็กเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าผ่านโซเชียลมีเดียและร้านค้าออนไลน์ มากที่สุด รองลงมาคือ ร้อยละ 84.2 ระบุ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประตูสู่ยาเสพติดชนิดอื่น ๆ เช่น กัญชา ยาบ้า ไอซ์ หรือยาเสียสาว ร้อยละ 77.5 ระบุ บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเสพแล้วติดเร็วกว่าเดิม ร้อยละ 66.8 กังวลการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในและใกล้สถานศึกษา และ ร้อยละ 60.9 เคยพบเห็นเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโซเชียลมีเดียและเห็นจริงด้วยตัวเอง
ที่น่าพิจารณา คือ ความคิดเห็นของผู้ปกครองต่อการบังคับใช้กฎหมาย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.4 ระบุ ต้องแก้ไขกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้บังคับใช้ได้อย่างจริงจังมากขึ้น ในขณะที่ ร้อยละ 81.5 ระบุ สนับสนุนให้มีหน่วยงานเฉพาะกิจ จู่โจม จับกุมและปราบปรามขบวนการต้นตอการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่เปราะบาง เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น และ ร้อยละ 75.6 ระบุ ต้องการให้เพิ่มโทษ ผู้ขายออนไลน์ เจ้าของแพลตฟอร์ม ผู้โฆษณา ผู้ครอบครอง
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงประเมินการรับรู้ ความกังวล และข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคประชาชนต่อบทบาทของรัฐในการป้องกันและควบคุมปัญหาดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณควบคู่กับการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ และสังคมมีความต้องการนโยบายสาธารณะที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจข้างต้น สำนักวิจัยซูเปอร์โพลขอเสนอแนวทางในการจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน ดังนี้
1. การปฏิรูปกฎหมาย: พิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า จำหน่าย และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. มาตรการด้านการศึกษา: บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับโทษและผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในหลักสูตรการเรียนรู้ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
3. การบูรณาการภาครัฐและท้องถิ่น: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง
4. การรณรงค์สื่อสารสาธารณะ: จัดทำแคมเปญสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้ข้อมูลเชิงวิชาการ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดในกลุ่มเยาวชน
5. การมีส่วนร่วมของครอบครัว: เสริมสร้างบทบาทของผู้ปกครองในการเฝ้าระวังและให้คำปรึกษาแก่บุตรหลานเกี่ยวกับภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
กล่าวโดยสรุป การศึกษาครั้งนี้ของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลชี้ให้เห็นว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยมิได้เป็นเพียงปัญหาสาธารณสุขเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนถึง ความล้มเหลวของระบบควบคุมสื่อ โซเชียล การตลาด และการบังคับใช้กฎหมาย ที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างเร่งด่วนเสริมสร้างความเข้มแข็งของมาตรการควบคุมการจำหน่าย โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มออนไลน์ และจัดตั้งระบบรายงานการละเมิดที่มีประสิทธิภาพ สร้างสื่อรณรงค์เชิงสร้างสรรค์ ที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็กและเยาวชน ให้เห็นถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ครอบครัว และโรงเรียน ในการเฝ้าระวังและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อปกป้องอนาคตของประเทศจากภัยสุขภาพรูปแบบใหม่
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี