‘ประธานชุด ฉก.ฉลามอันดามัน’เปิดตัวเลขสุดอึ้ง รัฐสูญเสียเงินจากขบวนการ‘ฉีกตั๋วผี’ เพียงแค่ 2 ชั่วโมง เป็นเงินกว่า 1.5 แสนบาท ‘ป.ป.ช.’เตรียมตั้งเรื่องไต่สวน ไม่หวั่นกังวลชนผู้มีอิทธิพล
27 มีนาคม 2568 จากกรณีคณะทำงานของ ป.ป.ช. ชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ หรือ “ชุดฉก.ฉลามอันดามัน” นำโดยนายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 (ที่ปรึกษาคณะทำงาน) , นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 (ที่ปรึกษาคณะทำงาน) , นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง (คณะทำงานและเลขานุการ) , นายปิยะวัฒน์ คุระพูล ผอ.กลุ่มประสานการป้องกันการทุจริตภาค 9 และเจ้าหน้าที่คณะทำงานร่วมกว่า 30 คน ลงพื้นที่สุ่มตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณ เกาะสี่ และเกาะแปด อย่างเป็นความลับ ซึ่งอุทยานฯดังกล่าวเป็นอีก 1 แห่ง ที่ประกาศให้มีการจัดเก็บรายได้แบบ E-Ticket หรือตั๋วแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเต็ม 100% โดยไม่มีการจัดเก็บแบบ “ฉีกตั๋ว” จ่ายเงินสด ตามมาตรการของทาง ป.ป.ช. ที่มีการเสนอไป เพื่อที่การจัดเก็บจะได้มีความโปร่งใส และลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของเงินเข้าสู่ตัวบุคล
จากการลงตรวจสอบกลับพบเห็นและปรากฏข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัดว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่นำผู้โดยสารเดินทางเข้ามา มีจำนวนนักท่องเที่ยวจริงที่เยอะกว่าจำนวนยอดที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket ที่มีการระบุเอาไว้ เช่นเรือ 1 ลำ นำผู้โดยสารเข้ามาจำนวน 50-60 คน แต่ไกด์นำเที่ยวกลับนำคิวอาร์โค้ดยอดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket มาเพียงแค่ 5 คน รวมทั้งจำนวนสัญชาตินักท่องเที่ยวแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เช่นระบุเรือลำหนึ่ง เป็นชาวไทยซึ่งจะต้องจ่ายค่าตั๋วในราคา 100 บาท ผ่านระบบ E-Ticket เดินทางมาจำนวน 10-20 คน แต่กลับพบข้อเท็จจริงว่าเรือลำดังกล่าวเป็นชาวต่างชาติที่จะต้องจ่ายค่าตั๋วในราคา 500 บาท ทั้งลำ ไม่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยแม้แต่คนเดียว อีกทั้งลูกจ้างของอุทยานฯ ที่อยู่ประจำจุด ไม่ได้มีการนับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดทุกลำ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : งามหน้า! ขบวนการฉีกตั๋วผี เกลื่อนอุทยานฯสิมิลัน ต่างชาติเต็มเรือ แต่แจ้งเป็นคนไทย)
จนกระทั่งวานนี้ (26 มี.ค.68) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีคำสั่งย้าย นายฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ออกจากพื้นที่ โดยให้ไปประจำที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทันที โดยอธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุว่า ตามกระบวนการ หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ต้องชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นก่อนเพื่อความเป็นธรรม ก่อนนำมาประกอบข้อมูลกับ ป.ป.ช. จ.ตรังที่พบ หากพบว่าผิดจริงจะดำเนินการตามขั้นตอนทางวินัย ที่เน้นย้ำเป็นนโยบายหลักของกรมอุทยานฯ ในเรื่องความโปร่งใส และขณะนี้ให้ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน รักษาการแทน
ล่าสุดนายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง และประธานคณะทำงานของ ป.ป.ช. ชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ หรือชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” เปิดเผยว่า จากการลงไปสุ่มตรวจสอบเมื่อวันที่ 25 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ได้ข้อมูลแยกออกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1.จำนวนนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วผ่านระบบ E-Ticket น้อยกว่าที่คณะทำงานนับได้ และประเด็นที่ 2.จำนวนนักท่องเที่ยวที่ระบุซื้อตั๋วไว้ในระบบ E-Ticket เป็นคนไทย แต่จากการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นชาวต่างชาติ
จากการตรวจสอบใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ คณะทำงานได้นับจำนวนเรือที่เข้ามาเทียบชายหาด จำนวน 12 ลำ ซึ่งเรือเพียงแค่ 12 ลำดังกล่าวเมื่อนำยอดนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ซื้อตั๋วอยู่ในระบบ E-Ticket ทำให้รัฐต้องเสียหายเป็นตัวเลขประมาณ 156,300 บาท ส่วนยอดตามที่ระบุอยู่ในระบบ E-Ticket เดินทางจากเกาะ 8 ไป เกาะ 4 จำนวน 1,700 คน และจากเกาะ 4 ไป เกาะ 8 จำนวน 1,625 คน ส่วนยอดจำนวนนักท่องเที่ยวจริงจะกี่คนนั้นยังอยู่ระหว่างคณะทำงานกำลังตรวจสอบอย่างละเอียดครบถ้วนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสันนิษฐาน และเข้าใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้มีมานาน เนื่องจากการลงไปตรวจสอบใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงกลับได้ยอดนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วนอกระบบจำนวนมาก และทำให้รัฐต้องเสียหายได้ถึงขนาดนี้ จึงเชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่วันลงสุ่มตรวจสอบแค่วันเดียวเท่านั้น น่าจะเกิดขึ้นมานาน เพียงแค่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงไปตรวจสอบ
สำหรับคณะทำงานชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” เป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดยท่านเลขา สำนักงาน ป.ป.ช. แต่งตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจในการตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ รับผิดชอบฝั่งทะเลอันดามันทั้งหมด เราได้ดำเนินการตรวจสอบมาตั้งแต่พื้นที่ จ.ตรัง พื้นที่ จ.กระบี่ และล่าสุดพื้นที่ใน จ.พังงา กระทั่งพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ขั้นตอนขบวนการหลังนี้ทาง ป.ป.ช. จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อที่จะพิจารณาว่าจะยกเหตุอันควรสงสัยขึ้นมาดำเนินการไต่สวนหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ พร้อมทั้งได้มีการประชุดคณะทำงานไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ต้องกลั่นกรองข้อเท็จจริงทั้งหมดออกมาให้เป็นตัวเลขให้ชัดเจน หลังจากนั้นจึงจะนำมาดูว่าจะยกเหตุอันควรสงสัยหรือไม่
นายบัณฑิต กล่าวว่า การกระทำในลักษณะเช่นนี้ตนเชื่อโดยส่วนตัวว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้าไปเกี่ยวจ้องคงยากที่จะดำเนินการได้ น่าจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับไหนอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยจากที่ผู้สื่อข่าวสอบถามมาว่า เท่าที่มีข้อมูลทราบว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางราย เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง หรือมีความสัมพันธ์กันและอาจะเป็นผู้มีอิทธิพลนั้น
“ตนในฐานะประธานคณะทำงานชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” ของยืนยันและขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า เราไม่ได้กังวล เพราะเรารู้มาตั้งแต่ตนแล้วว่า เราทำงานในลักษณะนี้ มันจะต้องพบปะกับผู้มีอิทธิพลแน่นอน เพราะว่าเป็นธุรกิจใหญ่ ไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ ฉะนั้นผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องไม่ใช่ผู้ที่ตัวเล็กๆเช่นกัน เราทำใจรับสภาพไว้แล้วและไม่ได้กังวลว่าแรงเสียดทานหรือสภาพใดๆที่จะเกิดขึ้น ถ้ากังวลเรื่องนี้เราคงทำงานไม่ได้” ประธานคณะทำงาน ชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดแล้วประเทศชาติ ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมหาศาลที่เล็ดลอดออกไปจากขบวนการ “ตั๋วผี” เหล่านี้ และเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไหลเข้าไปสู่กระเป๋าของใคร เจ้าหน้าที่รัฐแทนที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับไปรวมหัวกันกอบโกยเข้าตัวหรือแบ่งส่งต่อให้กับนายใหญ่ด้วยหรือไม่อย่างไรยังไม่ทราบได้ในขณะนี้ ต้องคอยพิสูจน์จากการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดยชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” ว่าจะกระชากหน้ากากแก๊ง “ตั๋วผี” ออกมาได้หรือไม่กันต่อไป
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี