ลุยกู้ซากตึกถล่ม
‘ชัชชาติ’ลั่นสงกรานต์ไม่พัก
ระดมเครน-แบ๊กโฮยักษ์
รื้อเหล็กปูนหาคนหาย
ญาติแฉ‘มานัส’แค่พนง.
ไม่น่าใช่ผู้ถือหุ้นไชน่าฯ
ผู้ว่าฯกทม.ลงพื้นที่ติดตามการกู้ซากอาคารสตง.ถล่ม-ค้นหา ผู้สูญหาย ยันสงกรานต์ไม่หยุด ลุยกู้ซากตึกต่อเนื่อง เผยคืบหน้า แล้ว 30% ระดมเครื่องมือหนัก อาทิ รถเครนขนาดใหญ่ยกน้ำหนัก
ได้ถึง 1.1 หมื่นตัน เสริมทัพด้วยรถแบ๊กโฮขนาดใหญ่ที่สุดในปท. นำมารื้อถอนเศษซากปูน-เหล็กด้านบนออก เพื่อเปิดพื้นที่ลงไปหาผู้สูญหาย ด้านอธิบดีดีเอสไอแจงผลตามตัว “มานัส” 1 ใน 3 ผู้ถือหุ้นคนไทยของไชน่า เรลเวย์ฯระบุไม่น่าเป็นคนถือหุ้น เพราะมีอาชีพรับจ้างขับรถส่งของให้บริษัทได้เงินรายวัน แค่พนักงานธรรมดา แฉพิรุธบ.ไชน่าฯย้ายสำนักงานหลายแห่ง อาจไม่ได้ประกอบกิจการจริง ทำให้ตามหาเอกสารหลักฐานได้
เมื่อวันที่ 9 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุการณ์อาคารในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ จตุจักร ถล่มต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 บรรยากาศตลอดช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ยังสับเปลี่ยนกำลังเครื่องจักรหนักและทีมค้นหา โดยนำเครื่องจักรหนักเข้ามาต่อเนื่องจากเดิมมีเครื่องจักรทั้งรถแบ็คโฮ และเครน รวม 21 ตัว นอกจากนี้ ยังมีชุดค้นหาเดินเท้าทั้งตำรวจพลร่ม กู้ภัย และปภ. ขึ้นไปด้านบนของซากปรักหักพังเพื่อเปิดพื้นที่เคลียร์ซากวัสดุต่างๆ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทีมกู้ภัยได้เข้าปูพรมค้นหาผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง หลังหยุดพักเครื่องจักรหนักที่ทำการเปิดพื้นที่มาตลอดทั้งคืน
เร่งรื้อซากปูน-เหล็กเปิดโซนอีหา14คนงาน
หลังจากเปิดพื้นที่แต่ละโซน โดยเฉพาะโซน A และโซน D ทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถนำรถแบ็กโฮขยับพื้นที่ เข้าไปอยู่ตรงกลางของกองซากปรักหักพังได้แล้วระดับความสูงจากพื้นประมาณ 7-8 เมตร เพื่อรื้อซากปูนและเหล็กลดระดับความสูงจากบริเวณโซน E เปิดพื้นที่ค้นหาผู้สูญหายได้เพิ่มเติม เพราะมีข้อมูลว่าคนงาน 14 คน ได้ทำงานอยู่ชั้น 28-29 ก่อนเกิดเหตุอาคารถล่ม การเปิดพื้นที่บริเวณด้านบนจะทำให้ลดความชันของพื้นที่โซน C และโซน D ได้
“ชัชชาติ”ยันสงกรานต์ไม่หยุด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าภารกิจค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ใกล้ชิด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ยังปฏิบัติงานต่อเนื่อง โดยนายชัชชาติได้เข้าทักทายพนักงานฝ่ายรักษาความสะอาด สำนักงานเขตจตุจักรที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ช่วงเช้า พร้อมระบุว่า ‘พี่กวาด’คือ อีกหนึ่งกำลังสำคัญ พร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นเข้าสังเกตการณ์ในโซน D และพูดคุยกับกู้ภัย อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่างๆ รวมถึงทหารช่างลพบุรี ซึ่งเตรียมอุปกรณ์ซ่อมบำรุงมาเตรียมพร้อม
นายชัชชาติกล่าวตอนหนึ่งว่า ช่วงสงกรานต์จะไม่หยุดภารกิจ ยังเดินหน้าต่อไป ไม่มีหยุดราชการ ลุยต่อ แต่อาสาฯบางคนต้องเวียนไปเยี่ยมบ้านบ้าง ราชการเราไม่ให้หยุด ต้องลุยไปก่อน ไว้ภารกิจเสร็จค่อยหยุด ขณะนี้ภารกิจคืบหน้าไปกว่า 30% แล้ว เชื่อว่าจะอพยพผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าวมากขึ้น
เสริมทัพรถเครนพันตัน-บิ๊กแบ๊กโฮ
นายชัชชาติเปิดเผยแผนดำเนินงานวันนี้ว่า เน้นย้ำการรื้อถอนซากอาคารควบคู่ไปกับการค้นหาผู้สูญหายอย่างเข้มข้น ข่าวดีวันนี้คือการได้รับการสนับสนุนเครื่องมือหนักสำคัญ ได้แก่ รถเครนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพยกน้ำหนักถึง 1,000 ตัน ซึ่งจะเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายซากปรักหักพังขนาดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้นหา นอกจากนี้ ยังเสริมทัพด้วย รถแบ๊กโฮมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการรื้อถอนและเปิดพื้นที่เข้าถึงจุดที่คาดว่ายังมีผู้สูญหายติดอยู่ภายใน
ยอดดับ22ยังสูญหาย73ราย
นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ทีมเจ้าหน้าที่สามารถใช้รถแบ๊กโฮไต่ระดับขึ้นไปลดขนาดและความสูงของเศษซากอาคารได้สำเร็จ สามารถลดระดับลงมาได้ประมาณ 3-4 เมตร ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการสร้างความปลอดภัยและเปิดทางการค้นหาวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการพบผู้สูญหายเพิ่มเติม แต่เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนยังมีความหวังและมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจเต็มที่ โดยมีการวางแผนและปรับกลยุทธ์การทำงานต่อเนื่อง เพื่อให้การค้นหามีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับตัวเลขของผู้เสียชีวิตล่าสุดเวลา 10.00 น. วันนี้ (9 เมษายน) เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 22 ราย สูญหาย 72 ราย ส่วนข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทางสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ รับศพผู้เสียชีวิตแล้ว 22 ราย มีชิ้นส่วนมนุษย์ 14 ชิ้น สามารถตรวจพิสูจน์ยืนยันเอกลักษณ์บุคคลแล้ว 18 ราย คืนศพให้ญาติแล้ว 14 ราย
ยังติดค้างใต้ซาก 73 ราย
ญาติมานัสแฉแค่พนง.ไม่น่าเป็นผู้ถือหุ้น
ความคืบหน้าการสอบสวนกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับคดีนอมินี หรือความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ก่อสร้างตึก สตง. แห่งใหม่ ซึ่งถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 และตั้งร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนนั้น พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า หลังตนมอบนโยบายให้พนักงานสอบสวนลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐาน และแสวงหาข้อเท็จจริงคดีนอมินี โดยยังเน้นการพิสูจน์ความผิดเรื่องนอมินี การถือหุ้นอำพรางของคนไทย ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอสืบสวนจนพบน้องเขยของนายมานัส ศรีอนันท์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 คนไทย ผู้ถือหุ้นในบริษัทไชน่า เรลเวย์ฯ สัดส่วน 0.0003% ที่จ.เพชรบูรณ์ แต่ไม่เจอตัวนายมานัส โดยญาติให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า นายมานัสทำอาชีพรับจ้างอยู่ในบริษัท มีรายได้ไม่เยอะ รับเป็นรายวัน มีการขับรถส่งของ-ยกของเท่านั้น เชื่อได้ว่าไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นภายในบริษัท เพราะเป็นเพียงพนักงานธรรมดา
“จึงถือว่าญาตินายมานัส เป็นพยานรายที่สองที่ดีเอสไอเจอตัวและได้สอบถามข้อมูล ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้พบเจอภรรยาของนายประจวบ ศิริเขตร (สัดส่วนถือหุ้นใน บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ 10.2%) ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งนี้ หากว่า 3 กรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทยประสงค์เข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อให้ข้อมูล จะสามารถกันเป็นพยานได้หรือไม่นั้น ตามหลักการแล้วจะมีหลักเกณฑ์การกำหนดกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นพยานในคดีอาญา ซึ่งหมายรวมถึงการให้รายละเอียดและประเด็นที่เกี่ยวข้องในสำนวนที่เจ้าตัวจะให้ด้วย”อธิบดีดีเอสไอระบุ
พิรุธย้ายที่อยู่สนง.หลายแห่ง
และว่า สำหรับกรอบการทำงาน ดีเอสไอพยายามเร่งที่สุด หากติดตามจนเจอตัวพยานจะสอบปากคำ แต่ถ้าติดตามแล้วยังไม่พบตัว ก็ต้องขยายเวลาออกไปเล็กน้อย แต่จะไม่กระทบหลักการสอบสวนในประเด็นอื่น หรือการรวบรวมพยานหลักฐานอื่น ส่วนอุปสรรคการติดตามพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ พบข้อมูลตามการรายงานว่า มีการย้ายสำนักงานหลายแห่งนั้น ยิ่งเป็นข้อสันนิษฐานและพยานหลักฐานได้ว่า บริษัทฯ อาจไม่ได้ประกอบกิจการที่เป็นหลักเป็นฐานจริง อาทิ การมีที่อยู่เดียวกันกับหลายบริษัท หรือพอเกิดเหตุขึ้นมีการปิดสำนักงานบางจุดแล้วย้ายไปที่อื่นแทน ก็ยิ่งสอดคล้องกับการที่อาจไม่ได้ตั้งบริษัทที่เป็นหลักเป็นฐานจริง แม้ว่าอาจไม่ใช่เป็นการทำลายพยานหลักฐาน แต่ดีเอสไอก็สามารถเก็บรวบรวมร่องรอยหลักฐานที่เหลือได้
ยันขยายผลสอบฮั้ว-วัสดุก่อสร้าง
พ.ต.ต.ยุทธนาเผยด้วยว่า ตอนนี้ดีเอสไอรับดำเนินคดีพิเศษ ในฐานความผิดประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือคดีนอมินี ซึ่งในเรื่องวัสดุก่อสร้าง เหล็ก จะขยายผลความผิดเกี่ยวเนื่องทั้งกรณีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และรวมไปถึงการฮั้ว เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ส่วนใด ดีเอสไอก็ต้องเข้าไปบูรณาการด้วย ทั้งกรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานผลิตภัณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อเก็บตัวอย่าง เศษวัสดุ หรือสิ่งใดที่จะใช้เป็นของกลางในคดี ยืนยันดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน หากจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือออกหมายจับใคร ดีเอสไอดำเนินการเต็มที่
ตร.เร่งสอบ98พยานฟันคนเอี่ยวตึกถล่ม
ด้านพล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตํารวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยความคืบหน้าการดําเนินคดีกรณีอาคาร สตง.พังถล่มว่า พนักงานสอบสวนแบ่งประเด็นการดำเนินคดีออกเป็น 2 ส่วนส่วนแรกคือการชันสูตรศพ ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลผู้เสียชีวิต ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังอยู่ระหว่างค้นหาผู้ติดค้างใต้ซากอาคารร ส่วนที่ 2 คือ การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิดเหตุตึกพังถล่ม ตำรวจได้สอบปากคำ แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง 13 ปาก ญาติผู้เสียชีวิต 15 ปาก ประจักพยานในที่เกิดเหตุและญาติผู้ประสบเหตุ 64 ปาก ผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 ปาก รวมสอบปากคำพยานแล้ว 98 ปาก ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งไม่ได้มาจากคําให้การพยานบุคคลเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงวัตถุพยานในที่เกิดเหตุที่ยังอยู่ระหว่างรอผลและข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้วย เบื้องต้นยืนยันว่าตำรวจเร่งดำเนินการทุกมิติ แต่ไม่สามารถกำหนดกรอบระยะเวลาได้ว่าจะดําเนินคดีหรือตั้งข้อหาใครได้บ้างขณะนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี