‘สพฐ.’เดินหน้าใช้หลักสูตรใหม่ปฐมวัย–ประถมต้น 4,440 โรงเรียน เร่งพัฒนาครู รับเปิดเทอมปี 68
29 เมษายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ซึ่งมีศาสตราจารย์บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำหลักสูตรใหม่สำหรับใช้เป็นกรอบในการจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดแนวคิดการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ และสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน สพฐ. จึงได้มีการขับเคลื่อนการนำ “หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3–6 ปี” และ “หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–3) พุทธศักราช 2568” ไปใช้จริงทั่วประเทศในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
ทั้งนี้ เปิดโอกาสให้โรงเรียนพิจารณาความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วม เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 ทักษะที่จำเป็นของผู้เรียน และนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรใหม่ดำเนินการตามหลักวิชาการอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การวิจัยสถานภาพการสอนในระดับปฐมวัยและประถมศึกษา การวิเคราะห์หลักสูตรและแนวโน้มการศึกษาต่างประเทศ การพัฒนาหลักสูตรต้นแบบ และการสังเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดีจากโรงเรียนต่างๆ จนได้หลักสูตรที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย และมีการรายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีโรงเรียนจากทุกสังกัดสมัครใจเข้าร่วมแล้ว 4,440 แห่ง แบ่งเป็นกลุ่มวิจัยและประเมินคุณภาพการใช้หลักสูตร 237 โรงเรียน และกลุ่มเครือข่ายการใช้หลักสูตร 4,203 โรงเรียน ซึ่งในระดับปฐมวัยจะมุ่งเน้นพัฒนาการสมวัย ขณะที่ระดับประถมศึกษาตอนต้นเน้นให้เด็กอ่านออกเขียนได้อย่างเข้าใจ คิดเลขเป็น เสริมสร้างทักษะพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตอบสนองการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที่ตามความถนัดและความสนใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาขั้นสูง
ทางด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในระดับประถมต้น (ป.1–ป.3) จะเน้นการประเมินสมรรถนะด้านการอ่าน เขียน และคำนวณ โดยแบ่งผลการเรียนรู้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ เริ่มต้น พัฒนา ชำนาญ และเชี่ยวชาญ ซึ่งแตกต่างจากการประเมินผลแบบเป็นเกรดรายวิชา ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทั้งนี้ สพฐ. ได้จัดทำแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนระหว่างโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรต่างระบบ เพื่อให้การย้ายเข้า–ออกของนักเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
ขณะเดียวกัน สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้เตรียมมาตรการสนับสนุนการใช้หลักสูตรอย่างครบวงจร ทั้งการจัดทำแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ (https://sites.google.com/view/curri68/home?authuser=0) การตั้ง "คลินิกวิชาการ" เป็นที่ปรึกษา การจัดประชุมชี้แจงแนวทางกับผู้บริหารและครู และการประชุมเชิงปฏิบัติการผ่าน OBEC Channel รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยลดภาระครูในการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ และการวัดผล ผ่านแหล่งเรียนรู้เฉพาะด้าน (https://www.giftedobec.org/อบรมการใช้-gen-ai-หลักสูตร-2568) อีกด้วย
“สพฐ. มุ่งหวังว่าการนำร่องใช้หลักสูตรใหม่ครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยตั้งแต่ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา ให้เด็กและเยาวชนเกิดสมรรถนะอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย พร้อมสำหรับการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ทางด้านโรงเรียนที่สมัครใจเข้าร่วม สพฐ. พร้อมเป็นเพื่อนดูแลช่วยคุณครูและโรงเรียน ให้สามารถขับเคลื่อนหลักสูตรได้อย่างมั่นใจ โดยเตรียมพร้อมทั้งคลินิกวิชาการ การอบรมพัฒนาครู การอบรมศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ ฯลฯ ทั้งนี้ หลักสูตรใหม่นี้มีเฉพาะของระดับประถมต้น หากการนำร่องใช้หลักสูตรใหม่ประสบผลสำเร็จด้วยดี ขั้นต่อไปเราจะพัฒนาหลักสูตรในระดับประถมปลาย จนไปถึงระดับมัธยมศึกษา เพื่อให้เด็กไทยทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่อย่างมีความสุข และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตได้อย่างมั่นคง” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี