เพื่อเป็นการตอกย้ำเตือนให้ทุกคนได้ตระหนักถึงภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะในช่วงที่มีเทศกาลสำคัญๆของประเทศ อาทิ เทศกาลสงกรานต์ ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย สำนักเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดงานแถลงข่าว “สงกรานต์ดื่มไม่ขับ ไปกลับปลอดภัย ปี 2562” เพื่อสร้างความตระหนักให้เกิดวัฒนธรรมขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้วยการรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนดื่มไม่ขับลดความเร็ว และช่วยกันลดความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนน
นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า ที่ผ่านมาสสส. รณรงค์วัฒนธรรมเมาไม่ขับมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ใช้ชื่อว่า “สงกรานต์ดื่มไม่ขับ ไปกลับปลอดภัย ปี 2562” และมีประเพณีสงกรานต์ปลอดภัย พื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้า ที่จัดโซนนิ่งรวบรวมถนนตระกูลข้าวปลอดเหล้า จำนวน 51 ถนน และมีพื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้ามากกว่า 113 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทำสื่อวีดีโอที่ชื่อว่า “คิดถึงบ้าน” เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง รวมถึงได้เพิ่มความเข้มงวดเรื่องกฎหมายการตรวจจับผู้กระทำผิดจากการดื่มแล้วขับเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุช่วง 7 วันอันตราย คือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงมา คือ การขับรถเร็ว และยังละเลยการใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย เช่น ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งข้อมูลจากสถิติของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) พบว่ามีคนดื่มสุราในช่วงสงกรานต์สูงถึง 36% แต่ในช่วงเวลาปกติมีการดื่มสุรา 28.4% นอกจากตัวเลขการดื่มที่เพิ่มขึ้นแล้ว ช่วงเทศกาลสงกรานต์ยังมีการเดินทางกันมากขึ้นด้วย หากดื่มสุราแล้วยังขับขี่จะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเกิดกับการเดินทางไกลอย่างเดียว แต่ภายในรัศมี 5 กิโลเมตร แถวบริเวณบ้าน แหล่งชุมชน ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ ที่สำคัญการเสียชีวิตส่วนใหญ่ 41% เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำให้ทั้งครอบครัวได้รับผลกระทบตามไปด้วย การเสียชีวิตของคนหนึ่งคนไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะจบอยู่แค่ตรงนั้นแต่มันเป็นปัญหาต่อเนื่องที่สังคมจะต้องตามแก้กันต่อไป
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ตอกย้ำว่า สงกรานต์ที่ผ่านมามีการเตรียมพร้อมโดยการดึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงานร่วมกันรณรงค์ให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด ซึ่งทางสำนักตำรวจแห่งชาติจะเก็บพยานหลักฐานทั้งหมดในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ของแต่ละบุคคลเอาไว้ ทั้งนี้ ผลการเจาะเลือดผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา พบว่า 60% มีปริมาณแอลกอฮอล์ ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในร่างกาย หรือคิดง่ายๆ ว่า ในถนนมีแต่คนเมาขับรถอยู่ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนปฏิบัติ ดังนี้1.ดื่มไม่ขับ 2.ไม่ขับรถเร็ว 3.ขับรถตอนกลางคืนให้ระวังมากขึ้นเพราะเทศกาลต้องยอมรับว่าเราจะมีคนดื่มแล้วขับบนถนนมากขึ้น และในปีนี้หากคนขับเมา ผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยก็มีสิทธิได้รับโทษ เพราะไม่ตักเตือนห้ามปราม
นายพรหมมินทร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับโทษในการเมาแล้วขับ โดยมีระดับแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์มีโทษทั้งจำทั้งปรับ อัตราโทษ สูงถึง 1 ปี และปรับ 10,000-20,000 บาท หากดื่มแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท หรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส มีโทษจำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท หากเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โทษจำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ทั้งนี้ขอย้ำเตือนว่า อย่าให้ช่วงเทศกาลทำให้ครอบครัวเกิดการสูญเสีย ประชาชนต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนเดินทาง ไม่ดื่มแล้วขับทุกชีวิตจะปลอดภัย
นางสาวรุจิรา คุทโสระ อายุ 22 ปี ผู้ประสบอุบัติเหตุจากคนดื่มแล้วขับ เล่าย้อนให้ฟังว่า หลังเลิกงานได้ขึ้นรถรับ-ส่งพนักงานเพื่อกลับบ้าน ซึ่งตนได้นั่งข้างคนขับ ในช่วงเวลาประมาณตี 4 ตนได้เผลอหลับไปและเกิดอุบัติเหตุทำให้คนขับได้พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้า เมื่อฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล เห็นแม่และเพื่อนยืนล้อมรอบเตียง เมื่อสังเกตร่างกายทำให้รู้ว่าไม่สามารถขยับช่วงล่างตั้งแต่เอวไปจนถึงปลายเท้าได้ ซึ่งหมอได้ทำการผ่าตัดปลายประสาทแต่ก็ไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นปกติได้อีก ตนจึงกลายเป็นผู้พิการช่วงล่างอย่างถาวร รู้สึกเสียใจถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย แต่เมื่อนึกถึงแม่และลูกทำให้เริ่มมีกำลังใจมากขึ้น และเริ่มสมัครงานใหม่จนปัจจุบันทำอาชีพพนักงานบัญชีที่มูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการ สิ่งที่เสียใจที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่การที่มีรายได้ไม่มากเท่าเดิม แต่เป็นการที่ตนได้ทราบภายหลังว่า คนขับรถรับ-ส่งพนักงานคนนั้นดื่มแล้วขับ แต่กลับปฏิเสธเสียงแข็งกับเธอว่าไม่ได้ดื่ม
ทุกคนที่ต้องกำพวงมาลัยรถอยู่ในมือ อย่ามองว่าการดื่มแล้วขับเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเมื่อไหร่ที่คุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความสามารถในการขับขี่จะลดลง อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมคนขับรถ ดังนั้นเราต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองเป็นสำคัญ การรณรงค์เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ย้ำเตือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ซึ่งเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น ส่วนระยะยาว คือ การเปลี่ยนทัศนคติและเพิ่มความรับผิดชอบของคนขับรถเป็นสำคัญ
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี