วันนี้ (2 มกราคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีพิจารณา เรื่อง (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ แล้วมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบตามที่ ศธ. เสนอ
1.1 เห็นชอบ (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติที่คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการเพื่อประกาศใช้ต่อไป
1.2 ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง (ร่าง) มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติ และให้ใช้มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติเป็นมาตรฐานกลางของประเทศแทน
1.3 ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณานำมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุนให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล และรับผิดชอบ มีการบริหารจัดการ การประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อยกระดับการพัฒนาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานฯ
1.4 ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ศธ. ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและรายงานต่อ ก.พ.ป. เป็นระยะ ๆ หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
2. ให้ ศธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น พิจารณาดำเนินการตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อแผนแม่บทดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว รวมถึงแผน/ยุทธศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษา และการดำเนินงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัดที่ดูแลเด็กในเวลากลางวัน ช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่สามารถนำไปใช้ประเมินการดำเนินงานของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกสังกัด ประมาณกว่า 53,335 แห่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดบริการและความต่อเนื่องของการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยกำหนดมาตรฐานย่อย 3 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 2) ด้านครู/ผู้ดูแลเด็กให้การดูแลและจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และ 3) ด้านคุณภาพของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็นเด็กแรกเกิด – อายุ 2 ปี และเด็กอายุ 3 ปี – อายุ 6 ปี (ก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1)
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. ให้โอนศูนย์ประชุมฯ ซึ่งเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (สพค.) และบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และรายได้ในส่วนของศูนย์ประชุมฯ ไปเป็นของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง (กค.) และให้เจ้าหน้าที่ของ สพค. ซึ่งปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวกับศูนย์ประชุมฯ ตามบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครกำหนด พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพค. เพราะเลิกหรือยุบตำแหน่ง และได้รับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561
3. ให้โอนสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีซึ่งเป็นของ สพค. และบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และรายได้ของ สพค. ในส่วนของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ไปเป็นขององค์การสวนสัตว์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และให้เจ้าหน้าที่ของ สพค. ซึ่งปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพค. เพราะเลิกหรือยุบตำแหน่ง และได้รับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และให้ สพค. มีอำนาจบริหารจัดการสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและกิจการที่ต่อเนื่องจนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ
4. การคัดเลือกผู้ปฏิบัติงานของ สพค. เพื่อไปปฏิบัติงานเป็นบุคลากรของกรมธนารักษ์ กค. หรือองค์การสวนสัตว์ ทส. ให้กรมธนารักษ์ กค. หรือองค์การสวนสัตว์ ทส. ทำความตกลงกับ สพค. เกี่ยวกับเงินเดือนหรือค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของบุคลลากรนั้น และอาจตกลงกันให้นับเวลาการทำงานต่อเนื่องจากการปฏิบัติงานใน สพค. ได้
5. เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ 2. และข้อ 3. แล้ว ให้ถือว่าการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ สพค. ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2556 เสร็จสิ้นลงแล้ว และให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ดำเนินการตามมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 โดยประกาศยุติการดำเนินการของ สพค. ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ให้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2556 เป็นอันยกเลิก
6. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบทรัพย์สินและชำระบัญชี รวมทั้งการโอนหรือการจำหน่ายทรัพย์สินที่ยังคงเหลืออยู่และการจัดการเกี่ยวกับบุคลากรซึ่งยังคงเหลืออยู่ของ สพค. ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
คค. เสนอว่า
1. เนื่องจากมีความจำเป็นต้องก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 มีนาคม 2561) อนุมัติโครงการฯ แล้ว อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรถไฟ ลดระยะเวลาการเดินทาง และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่งของประเทศ ลดปัญหามลพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งทางรางรถไฟให้มากยิ่งขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor (EEC)) ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและกำหนดให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน อยู่ในกรอบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (EEC Project List)
2. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ประกอบด้วย (1) โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์เดิม คือช่วงพญาไทถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (2) โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ส่วนต่อขยาย ช่วงพญาไทถึงท่าอากาศยานดอนเมือง และ (3) โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ (บริเวณสถานีรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ลาดกระบัง) ถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร
3. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ โดยได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียกับโครงการดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวเห็นว่า มีความจำเป็นต้องก่อสร้างย่านสถานี ทางเข้าออกสถานี ทางรถไฟ และดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรืออยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง รฟท. ในท้องที่ดังกล่าว โดยมีที่ดินที่จะต้องเวนคืนประมาณ 850 – 0 – 04.82 ไร่ และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 245 หลัง จึงมีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อให้โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน โดยมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการภายในระยะเวลา 4 ปี ตามที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ
4. คค. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ประกอบด้วย รายละเอียดโครงการ แผนบริหารจัดการโครงการเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และส่งมอบพื้นที่ให้ทันตามแผนงานก่อสร้างโครงการฯ ประมาณการรายจ่ายตามกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงคลองสามประเวศ แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลบางเตย ตำบลวังตะเคียน ตำบลท่าไข่ ตำบลบางขวัญ ตำบลบ้านใหม่ ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลบ้านสวน ตำบลหนองข้างคอก ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี ตำบลบางพระ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ตำบลนาเกลือ ตำบลหนองปรือ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง ตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่ ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และตำบลสำนักท้อน ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อก่อสร้างย่านสถานี ทางเข้าออกสถานี ทางรถไฟ และดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟ ตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรืออยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งการรถไฟแห่งประเทศไทย
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดบทนิยาม คำว่า “การกำหนดอาหาร” และกำหนดให้มีคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหาร ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการที่เป็นผู้แทนจากสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการที่มาจากการเลือกตั้งโดยผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการกำหนดอาหาร และผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ เป็นกรรมการและเลขานุการ
2. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการวิชาชีพซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการกำหนดอาหาร วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการวิชาชีพ การพ้นจากการดำรงตำแหน่งของกรรมการที่เป็นผู้แทนจากสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง และกรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง
3. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจในการออกระเบียบเกี่ยวกับการเลือกตั้งกรรมการวิชาชีพซึ่งเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการกำหนดอาหาร การเลือกประธานกรรมการวิชาชีพและรองประธานกรรมการวิชาชีพ กำหนดอำนาจหน้าที่และการดำเนินการของคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหาร โดยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542
4. กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการกำหนดอาหารต้องเป็นผู้ที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญา สาขาการกำหนดอาหารจากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหารรับรองผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศซึ่งมิได้มีสัญชาติไทย และผู้ที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาด้านการกำหนดอาหารสาขาอื่นอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และปฏิบัติงานด้านกำหนดอาหารในสถานพยาบาลหรือองค์กรใดที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหารรับรอง
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “ความเสี่ยงทางการเมือง” โดยให้ ธสน. สามารถรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองแก่ผู้ลงทุนหรือรับประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของธนาคารของผู้ลงทุน สำหรับความเสียหายจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินกู้จากผู้ลงทุนอันเนื่องมาจากความเสี่ยงทางการเมือง โดยมีวงเงินการรับประกันสูงสุดไม่เกินจำนวนที่คณะกรรมการ ธสน. กำหนด
2. กำหนดให้ ธสน. ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ลงทุนหรือธนาคารของผู้ลงทุน ในกรณีที่การกระทำหรือการละเว้นการกระทำการใดของรัฐบาลของประเทศที่ผู้ลงทุนไปลงทุนซึ่งผู้ลงทุนได้ตกลงยินยอมด้วย หรือการกระทำหรือการละเว้นการกระทำใดที่ผู้ลงทุนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายหรือปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ หรือกฎเกณฑ์ของประเทศที่ผู้ลงทุนไปลงทุน หรือกรณีอื่นใดตามที่คณะกรรมการ ธสน. กำหนด
3. กำหนดให้การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้ลงทุน หรือธนาคารของผู้ลงทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ธสน. กำหนด
4. ให้ ธสน. อาจนำความเสี่ยงทางการเมืองที่รับประกันแก่ผู้ลงทุน หรือธนาคารของผู้ลงทุนมาประกันต่อกับบริษัทประกันภัยหรือองค์กรอื่นที่รับประกันความเสี่ยงทางการเมืองทั้งจำนวนหรือเพียงบางส่วนได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ธสน. กำหนด และสามารถรับประกันภัยต่อจากบริษัทประกันภัยหรือองค์กรอื่นที่รับประกันความเสี่ยงทางการเมืองได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ธสน. กำหนด
5. ให้คณะกรรมการ ธสน. เป็นผู้กำหนดอัตราเบี้ยประกัน ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นที่เรียกเก็บจากผู้ลงทุนหรือธนาคารของผู้ลงทุนที่เอาประกันภัย หรือบริษัทประกันภัย หรือองค์กรรับประกันความเสี่ยงอื่นที่ ธสน. รับประกันภัยต่อ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
อก. เสนอว่า
1. ได้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากสถานประกอบการเกี่ยวกับการทำน้ำจืดจากทะเล ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และโดยที่มาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติให้ในกรณีที่มีมาตรฐานเกี่ยวกับการระบายน้ำทิ้ง การปล่อยทิ้งอากาศเสีย การปล่อยทิ้งของเสีย หรือมลพิษอื่นใดจากแหล่งกำเนิดสู่สิ่งแวดล้อม โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายอื่น ซึ่งถ้ามีมาตรฐานต่ำกว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 55 ดังกล่าว ให้ส่วนราชการที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น ต้องแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มิได้กำหนดให้สามารถกระทำได้ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ำทิ้งโดยวิธีเจือจางได้ ประกอบกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 ได้มีมติให้ อก. กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบายอากาศเสียจากการเก็บรักษา ขนถ่าย และ/หรือขนส่งจากคลังน้ำมัน ในกิจกรรมที่ไม่ใช่การผลิตปกติ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
2. ปัจจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมได้เจริญเติบโตอย่างมาก รวมทั้งการขยายตัวของชุมชน ทำให้อุตสาหกรรมและชุมชนอยู่ใกล้ชิดและหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ชุมชนอาจได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงงานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงงานต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรง ทางอ้อม จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีการรายงานการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณสารเคมีที่ผลิตและครอบครอง วิธีการควบคุม และผลการควบคุม เพื่อให้สามารถกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
3. อก. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และมติของ กพอ. ดังกล่าว จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดมาตรฐานและวิธีการควบคุมการระบายน้ำทิ้ง และการปล่อยอากาศเสียที่เกิดจากการใช้สารเคมีหรือสารมลพิษออกจากโรงงาน และแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องรายงาน จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ำทิ้งโดยวิธีเจือจางได้ และกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้ประกอบการโรงงานจัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการผลิต การใช้ การครอบครอง การปลดปล่อย และการเคลื่อนย้ายสารเคมีหรือสารมลพิษออกจากโรงงานฯ เพื่อให้สามารถกำกับดูแลและติดตามให้เป็นไปตามกฎหมาย
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
พณ. เสนอว่า โดยที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ออกข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ข้อมติ UNSC ที่ 2078 (ค.ศ. 2012) ที่ 2136 (ค.ศ. 2014) ที่ 2198 (ค.ศ. 2015) ที่ 2293 (ค.ศ. 2016) ที่ 2360 (ค.ศ. 2017) และ ที่ 2424 (ค.ศ. 2018) เกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน โดยเป็นการขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการลงโทษดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ประกอบกับประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อ 25 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (วันที่ 11 กันยายน 2561) ให้ความเห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติดังกล่าว พณ. จึงเห็นสมควรยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทุกประเภทไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 13 มกราคม 2547 และปรับปรุงประกาศดังกล่าวขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก และห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และเพิ่มเติมข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับกับกรณีการส่งออกหรือนำผ่านเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับการป้องกัน รวมถึงเสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกสนามเพื่อนำไปใช้เฉพาะตัวเป็นการชั่วคราวสำหรับบุคลากรของสหประชาชาติ ผู้แทนสื่อมวลชน ผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทุกประเภทไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 13 มกราคม 2547
2. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
3. กำหนดข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับในกรณี
3.1 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ให้แก่รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
3.2 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์เพื่อการสนับสนุน หรือการใช้โดยภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (United Nations Organization Stabilization Mission in the Democratic Republic of Congo : MONUSCO) หรือกองกำลังสหประชาชาติแอฟริกา (African Union – Regional Task Force)
3.3 การส่งออกหรือนำผ่านเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับการป้องกัน รวมถึงเสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกสนามเพื่อนำไปใช้เฉพาะตัวเป็นการชั่วคราวสำหรับบุคลากรของสหประชาชาติ ผู้แทนสื่อมวลชนผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
3.4 การส่งออกหรือนำผ่านเครื่องอุปกรณ์ของอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิตเพื่อนำไปใช้ด้านมนุษยธรรม การป้องกัน และการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค และการฝึกอบรม
3.5 การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ในกรณีอื่น
การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ตามข้อ 3.1 ข้อ 3.4 และข้อ 3.5 ต้องเป็นไปตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อมติ
เศรษฐกิจ- สังคม
8. เรื่อง การทบทวนข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ดังนี้
(1) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) 1 พฤษภาคม 2561 (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) และ 4 ธันวาคม 2561 (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม) โดยเคร่งครัด
(2) ต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One – In, X – Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ
(3) ให้เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า
1. แม้ว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (1 พฤษภาคม 2561) เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยให้คำนึงถึงเหตุผลความจำเป็นและคำนึงถึงค่าใช้จ่ายนั้น แต่ยังปรากฏว่า มีการเสนอร่างกฎหมายที่มีการจัดตั้งหน่วยงานคณะกรรมการและกองทุนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าเป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะสร้างปัญหาค่าใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต และยังทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ อันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า แผนการปฏิรูปประเทศที่กำหนดให้มีหน่วยงานตั้งใหม่ รวม 52 หน่วยงาน นั้น ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ที่กำหนดให้ภาครัฐมีขนาดเล็กลงและเหมาะสมกับภารกิจ
2. จากข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาข้างต้น สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเห็นควรให้มีการทบทวนข้อเสนอที่ให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ตัดข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ ออกจากแผนการปฏิรูปประเทศ และให้หน่วยงานถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ถ้าจะขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง กับต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One – In, X – Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ รวมทั้งให้เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอน ประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ
3. ในการประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ก.พ.ร. ได้เห็นชอบกับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ข้างต้นแล้ว และมีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ก.พ.ร. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ นั้น มิให้มีการกำหนดเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานไว้เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศอีก
9. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 3/2561 (คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช สรุปได้ ดังนี้ 1. การบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี 25621
1.1 เห็นชอบการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี 2562 ภายใต้ กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ดังนี้
1.1.1 ผู้มีสิทธินำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 6 สมาคม และ 20 บริษัท กรณีมีผู้ขอเป็นผู้มีสิทธินำเข้ารายใหม่ และการตัดสิทธิผู้นำเข้ารายเดิมในกรณีที่ผิดสัญญา ให้คณะอนุกรรมการกำกับ ดูแล เมล็ดถั่วเหลือง ปี 2560 – 2562 เป็นผู้พิจารณา และเสนอคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเพื่อทราบ
1.1.2 ผู้มีสิทธินำเข้าให้การสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศ โดย (1) รับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำตามชั้นคุณภาพ และ (2) ผู้มีสิทธินำเข้าให้ความร่วมมือซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ทั้งหมดภายในประเทศ และให้ความร่วมมือในการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าตามนโยบาย โดยลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.)
1.2 ภายใต้กรอบการค้าอื่นให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO
หน่วยงานรับผิดชอบ พณ.(กรมการค้าต่างปรเทศ)
2.การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลงของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปี 2562
2.1 เห็นชอบการบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลงของ AFTAปี 2562 ดังนี้
2.1.1 ผู้นำเข้าต้องเป็นนิติบุคคลและเป็นโรงงาน (มีใบ รง.4)ที่ใช้มะพร้าวผลเป็นวัตถุดิบในการผลิตของตนเอง เปิดดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบันและขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้ากับกรมการค้าต่างประเทศ
2.1.2 ให้กรมการค้าต่างประเทศออกหนังสือรับรอง (แบบ ต.2) ให้ผู้นำเข้าได้ตามความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวภายใต้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
2.1.3 ให้ผู้นำเข้าต้องนำเข้ามาเพื่อแปรรูปเป็นน้ำมันพืช หรืออาหารคนในกิจการของตนเองไม่เกินปริมาณที่ระบุไว้ในแผนการนำเข้า และการใช้ในกิจการ
ของตนเอง
2.1.4 ผู้นำเข้าให้คำรับรองว่าจะไม่นำมาจำหน่าย จ่าย โอน ภายในประเทศ
2.1.5 ผู้นำเข้ามะพร้าวพิกัดฯ 0801.12.00 และพิกัดฯ 0801.19.90 ได้ให้
คำรับรองว่าจะไม่นำมะพร้าวนำเข้า ไปให้นิติบุคคลหรือบุคคลทั่วไปแปรสภาพโดยการกะเทาะภายนอกโรงงานของตนเองและต้องรายงานบัญชีสมดุลแปรสภาพมะพร้าวผลเป็นเนื้อมะพร้าวขาวภายหลังการนำเข้า หากไม่รายงานจะถูกระงับการออกหนังสือรับรองในครั้งต่อไป จนกว่าจะรายงานถูกต้องครบถ้วน
2.2 ให้ทบทวนการบริหารการนำเข้ามะพร้าวผล ปี 2562 กรณีการกำหนดช่วงเวลานำเข้ามะพร้าวผลและการกำหนดสัดส่วนการบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลต่อการรับซื้อผลิตมะพร้าวผลในประเทศ ในอัตรา 1 : 1.5 โดยมอบหมายผู้แทนเกษตรกร (นายอำนาจ มณีแดง) ประสานข้อมูลปริมาณผลผลิตมะพร้าวในแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ส่งให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว ภายในกำหนด(15 มกราคม 2562) หากพ้นกำหนดให้ถือตามมติคณะอนุกรรมการฯ และเสนอคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชต่อไป หน่วยงานที่่รับผิดชอบคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว
3. เห็นชอบการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO สำหรับ ปี 2562 โดยใช้ข้อมูลปริมาณการนำเข้ามะพร้าวปี 2557 – 2559 เป็นฐานในการคำนวณเพื่อกำหนดปริมาณ Trigger Volume ของปี 2562 [หากมีการนำเข้ามะพร้าวเกินปริมาณที่กำหนด (Trigger Volume) ประเทศผู้นำเข้าสามารถกลับไปขึ้นภาษีที่อัตราเดิมก่อนเริ่มลดหรืออัตรา MFN (Most Favored Nation Treatment หรือหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่ง หรือหลักการไม่เลือกปฏิบัติ)
หน่วยงานที่รับผิดชอบ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องการออกประกาศของกระทรวงการคลังในการเก็บภาษีตามมาตรการ SSG โดยให้มีเจตนารมณ์ในการยกเว้นการขอคืนภาษีนำเข้าตามมตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลากร พ.ศ. 2482 ไว้ด้วย
10. เรื่อง โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี 2562 ของกระทรวงพลังงาน (พน.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนประจำปี 2562 ของ พน. โดยได้ลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดลง 1 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.5 บาท/ลิตร และส่วนที่เหลือเป็นการให้ความร่วมมือลดค่าการตลาดของผู้ค้าตามสภาพราคาตลาดที่ลดลง
11. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ กษ. (กรมชลประทาน) ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ (โครงการอ่างเก็บน้ำยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ เดิม) มีกำหนดแผนงานโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567) กรอบวงเงินงบประมาณโครงการทั้งสิ้น 3,100 ล้านบาท
2. อนุมัติหลักการให้ กษ. (กรมชลประทาน) สามารถจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในกรณีที่กรมชลประทานไม่สามารถจัดสรรที่ดินแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบหรือราษฎรไม่ประสงค์จะรับที่ดินแปลงอพยพ
3. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนงานปฏิบัติการป้องกัน แก้ไข และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ กษ. (กรมชลประทาน) เสนออย่างเคร่งครัด
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ กษ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ สรุปได้ดังนี้
1. วัตถุประสงค์โครงการ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับสนับสนุนพื้นที่การเกษตร บรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ชุมชนและเขตเกษตรกรรม เป็นแหล่งน้ำด้านการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และเพื่อรองรับแผนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นให้เต็มศักยภาพในลุ่มน้ำชี
2. ที่ตั้งโครงการ อยู่บริเวณพื้นที่บ้านยางนาดี ตำบลชีบน อำเภอบ้านเขว้า และพื้นที่บ้านละหานค่าย ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ
3. ลักษณะโครงการ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ดังนี้ 1) เขื่อนดินประเภทแบ่งโซน (Zone Dam) ความยาว 1,580 เมตร ความสูง 24 เมตร ความกว้างสันทำนบดิน 9 เมตร และขนาดความจุที่ระดับเก็บกัก 70.21 ล้านลูกบาศก์เมตร 2) อาคารระบายน้ำล้น (Spillway) ชนิดประตูระบายเหล็กบานโค้ง ขนาดความกว้าง 12.50 X 7.50 เมตร จำนวน 6 บาน 3) อาคารส่งน้ำลงลำน้ำเดิม ขนาดท่อส่งน้ำจำนวน 2 แถว กว้าง 3.80 เมตร สูง 3.00 เมตร
4. ระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567)
5. ค่าใช้จ่าย รวมทั้งสิ้น 3,100 ล้านบาท
6. ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ
1) เป็นแหล่งน้ำสนับสนุนสถานีสูบน้ำตามลำน้ำชีตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ จนถึงจุดบรรจบลำน้ำพองในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
2) พื้นที่รับประโยชน์ในฤดูฝน จำนวน 75,000 ไร่ และฤดูแล้ง จำนวน 30,000 ไร่
3) เป็นแหล่งน้ำสนับสนุนการประมง
4) สามารถช่วยบรรเทาอุทกภัยบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างเก็บน้ำ
12. เรื่อง การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอการเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์แก่กรมเจ้าท่า เพื่อให้การปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่เป็นไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง คค. รายงานว่า
1. จากนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing: IUU Fishing) กรมเจ้าท่า ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบและเป็นคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมงและการทำประมงผิดกฎหมาย จึงได้พัฒนาระบบการอนุญาตคนประจำเรือและแรงงานประมงทะเลเพื่อลงทำการในเรือประมงทะเล ตามมาตรา 285 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มีจุดประสงค์เพื่อนำการพิจารณาการออกใบอนุญาต การรายงานเรือเข้า – ออกเมืองท่าของเรือประมงไทย โดยเก็บบันทึกข้อมูลภาพใบหน้าคนประจำเรือและแรงงานประมงเพื่อการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลโดยการตรวจจับใบหน้าปัจจุบัน (Face Detection) เปรียบเทียบกับรูปโครงหน้าเดิม (Face Recognition) ที่เคยทำการลงทะเบียนหรือรายงานไว้ในการแจ้งเรือเข้า – ออก ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อเป็นการควบคุมคนประจำเรือและแรงงานประมงทะเล
2. ระบบการอนุญาตคนประจำเรือและแรงงานประมงทะเลเพื่อลงทำการในเรือประมงทะเลฯ เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 ในขั้นตอนกระบวนการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครอง กรมเจ้าท่าได้รับอนุญาตให้ดูภาพได้เฉพาะแรงงานต่างด้าว ส่วนแรงงานสัญชาติไทยจะไม่ปรากฏภาพใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติงานเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ กระบวนการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลของแรงงานสัญชาติไทยจึงยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมการปกครองเพื่อการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลของคนประจำเรือและแรงงานประมง มาเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าที่จัดเก็บอยู่ในระบบของกรมเจ้าท่า ให้เกิดความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบแรงงานในภาคประมง สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ลดการปลอมแปลงเอกสาร การสวมตัวของแรงงานประมงไร้สัญชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการตรวจสอบการทำการประมงของประเทศไทยอย่างเข้มงวด มีความเชื่อมั่นในไทยมากยิ่งขึ้น
3. ในปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุญาตให้ลงทำการงานในเรือประมงแล้วเป็นจำนวนทั้งหมด 67,217 ราย เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย จำนวน 24,488 ราย และเป็นบุคคลต่างด้าว จำนวน 42,729 ราย
13. เรื่อง การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอให้ พณ. (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Registration) โดยให้ พณ. รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ พณ. (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Registration) ซึ่งถือเป็นการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบระดับสูง ซึ่งต้องใช้วิธีการแบบปลอดภัยในระดับเคร่งครัด โดย พณ. (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) มีความจำเป็นในการเชื่อมโยงข้อมูลรูปภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองเพื่อตรวจสอบและยืนยันความมีตัวตนของบุคคลในการพิจารณาคำขอจดทะเบียนผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Registration) ลดความผิดพลาดของข้อมูลและขั้นตอนการทำงาน และบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องดังกล่าวแล้ว
14. เรื่อง แถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ตามที่สำนักพระราชวังมีประกาศแจ้งว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณีเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติ และราชอาณาจักรให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนผู้มีความหวังตั้งใจอยู่ทั่วกัน ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2562 นั้น
รัฐบาลได้รับทราบแล้วด้วยความยินดียิ่ง และบัดนี้เป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลจะได้ร่วมกับพสกนิกรชาวไทยเตรียมการจัดงานสนองพระราชดำริและพระมหากรุณาธิคุณให้สมพระเกียรติตามพระราชประเพณี ทั้งนี้ จำเดิมแต่ทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญขึ้นทรงราชย์ในปี 2559 รัฐบาลก็ได้ตระเตรียมการต่าง ๆ อันพึงจะต้องปฏิบัติในส่วนของรัฐบาลเป็นการภายในไปพลางก่อนแล้ว เมื่อมีกำหนดการชัดเจนเช่นนี้รัฐบาลจะแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ โดยจะแจ้งการเตรียมการให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบต่อไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน สำนักนายกรัฐมนตรี 2 มกราคม 2562
15. เรื่อง ประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ประกาศสำนักพระราชวัง ลงวันที่ 1 มกราคม 2562 เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
เลขาธิการพระราชวังรับพระราชโองการเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า โดยที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลในนามของปวงชนชาวไทยนั้น ทรงพระราชดำริว่า เป็นโอกาสอันควรที่จะได้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณี เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร ให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนผู้มีความหวังตั้งใจอยู่ทั่วกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น ดังนี้
1. วันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเสด็จออกมหาสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร
2. วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และและสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้น เสด็จเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค
3. วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 เสด็จออก ณ สีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พสกนิกรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศเฝ้าทูลละออกธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล ส่วนการเสด็จเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีขึ้นในช่วงการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ปลายปีพุทธศักราช 2562 จังประกาศให้ทราบทั่วกัน
16. เรื่อง มาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการชำระเงิน การรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดรายการสินค้าและบริการที่จะไม่ได้รับสิทธิ (Negative List) ของมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สาระสำคัญ
การแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการชำระเงิน การรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดรายการสินค้าและบริการที่จะไม่ได้รับสิทธิ (Negative List) ของมาตรการฯ โดยสรุปการแก้ไขเพิ่มเติม และเหตุผลของการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ดังนี้ เรื่องเดิม(คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561)
17. เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และงบประมาณสนับสนุน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้สภากาชาดไทยดำเนินโครงการศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2566 ภายในกรอบวงเงิน 2,436,000,000 บาท (สองพันสี่ร้อยสามสิบหกล้านบาท) โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน 1,948,800,000 บาท (หนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบแปดล้านแปดแสนบาท) และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน 487,200,000 บาท (สี่ร้อยแปดสิบเจ็ดล้านสองแสนบาท)โดยประกอบไปด้วยโครงการย่อย 2 โครงการ คือ
1. โครงการปรับปรุงอาคารนวมินทราชินีและอาคารคัคณางค์ (พ.ศ. 2563 –พ.ศ. 2565)
- ค่าปรับปรุง 880,000,000 บาท โดยขอสนับสนุนจากรัฐบาล ร้อยละ 80 เท่ากับ 704,000,000 บาท
- ค่าควบคุมงาน 44,000,000 บาท โดยขอสนับสนุนจากรัฐบาลร้อยละ 80 เท่ากับ 35,200,000 บาท
2. โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิจัยและนวัตกรรมงานบริการ (พ.ศ. 2563 – 2566)
- ค่าก่อสร้าง 1,440,000,000 บาท โดยขอสนับสนุนจากรัฐบาล ร้อยละ 80 เท่ากับ 1,152,000,000 บาท
- ค่าควบคุมงาน 72,000,000 บาท โดยขอสนับสนุนจากรัฐบาลร้อยละ 80 เท่ากับ 57,600,000 บาท
โดยให้สภากาชาดไทยเสนอรายละเอียดคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามขั้นตอนต่อไป ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 26 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ต่างประเทศ
18. เรื่อง สรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ร่วมลงนามในกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกอาเซียนหรือผู้แทนในโอกาสแรก
3. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนามในกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนสำหรับการลงนามดังกล่าว
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ ศธ. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์อาเซียน แผนงาน/โครงการกิจกรรมด้านการศึกษาภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน อาเซียนบวกสาม สุดยอดเอเชียตะวันออก และความร่วมมืออาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นเพื่อการพัฒนาการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาค รวมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ การประชุม ฯ ได้มีการพิจารณารับรองกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน แผนปฏิบัติการอาเซียน – จีน เพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. 2560 – 2563 และแผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. 2561 – 2568 ซึ่งเอกสารทั้งสามฉบับได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 แล้ว ตลอดจนรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินความร่วมมือเพื่อพัฒนาการศึกษาภายใต้แผนงานการศึกษาอาเซียน พ.ศ. 2559 -2563 รวมทั้งยังมีหัวข้ออื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การจัดกิจกรรมภายใต้ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนที่ตกหล่น โดยประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพในโครงการ “การประชาสัมพันธ์การดำเนินการเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนที่ตกหล่นและสร้าง commitment ร่วมกันเพื่อให้มีการดำเนินการที่เข้มแข็ง” และการเตรียมการเป็นเจ้าภาพการเป็นประธานอาเซียน ในปี 2562 ของประเทศไทย และมีการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ดังนี้ (1) การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสามครั้งที่ 4 (2) การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 9 (3) การประชุมคณะทำงานอาเซียน – รัสเซียด้านการศึกษา และ (4) การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการฟิลิปปินส์
19. เรื่อง การขอรับจัดสรรงบอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
การดำเนินงานของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue : ACSDSD) ซึ่งศูนย์อาเซียนฯ จะตั้งอยู่ที่ศูนย์วิจัยภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพมหานคร และมีหน้าที่หลัก คือ การประสานงานและขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศและประชาคมอาเซียนภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ โดยดำเนินการผ่านกิจกรรมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น 1) กิจกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (เช่น การจัดการประชุมหารือระดมสมองระดับสูงว่าด้วยการส่งเสริมความเกื้อกูลระหว่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ ร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน และคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก) และ 2) การเดินทางเข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์อาเซียนฯ ที่ประเทศไทยเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ประสานงานของอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียนให้ก้าวหน้า และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี พ.ศ. 2562
แต่งตั้ง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายออมสิน สิงหกลางพล ผู้อำนวยการสำนัก 8 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2561
2. นายทศนารถ นุตาคม ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมเกษียณอายุราชการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นางเจิดฤดี ชินเวโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางญาใจ พัฒนสุขวสันต์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. เลื่อน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมการจัดหางาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
2. เลื่อน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
3. เลื่อน นายสมศักดิ์ อภิวันทนกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวง (นักบริหารต้น) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
4. เลื่อน นายธวัช เบญจาทิกุล รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอการแต่งตั้ง นายชีระ วงศบูรณะ เป็นผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสียและการกำหนดอัตราค่าตอบแทน [ตามมติคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 และครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561] ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้ นายชีระ วงศบูรณะ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสียในครั้งต่อไป ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด
25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ วาระปี พ.ศ. 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
2. นายสราวุธ เบญจกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร
3. พลตำรวจเอก ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
4.พลตำรวจโท ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา
5. นายรวี ประจวบเหมาะ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความมั่นคงประเทศ
6. นายมานะ นิมิตรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
7. นายภาสกร ประถมบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
8. นางสาวพันธุ์ทิพย์ นวานุช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
9. นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น โดยมีองค์ประกอบ รวม 17 คน ประกอบด้วย นายธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นประธานกรรมการ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นรองประธานกรรมการ นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย และนายโกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการและเลขานุการ และมีกรรมการโดยตำแหน่งอีก 11 คน มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานสถาบันไทยโคเซ็น และสนับสนุนนักเรียนนักศึกษาไทยในการไปศึกษาต่อ ณ สถาบันไทยโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น บริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นและกำกับดูแลแผนปฏิบัติการและงบประมาณในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมของสถาบันการศึกษารูปแบบโคเซ็นในประเทศไทย เป็นต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 4 คน แทนตำแหน่งที่ว่างลง ดังนี้
1. นายเจษฎา โชคดำรงสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข
2. พลเอก เอกจิต ช่างหล่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก
3.นางดวงตา ตันโช ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง
4. นางสมศรี วัฒนไพศาล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
28. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งผู้แทนส่วนราชการเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ดังนี้
1. นายสุรจิตต์ อินทรชิต รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี