โทษโบย เป็นโทษทางอาญาชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้อยู่ในหลายประเทศ ที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UNO) โดยเฉพาะประเทศกลุ่มอาหรับที่นับถือศาสนามุสลิม
ส่วนประเทศที่อ้างตนเองว่าเป็นประชาธิปไตย และทันสมัย มักจะหาว่า “โทษโบย” เป็นโทษที่ล้าสมัย และทารุณเกินไป
แต่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ชั้น 1 ทันสมัยชั้น 1 และไม่ได้เป็นประเทศมุสลิม ที่ยังใช้ “โทษโบย” อยู่ก็คือ “สิงคโปร์”
ใครต้องโทษถูกโบย ก็ต้องถูกโบยตามมาตรฐานของสิงคโปร์ทันที ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นชาวยุโรป ชาวอเมริกัน ชาวญี่ปุ่น หรือชาวจีน
ไม่เห็นองค์การสิทธิมนุษยชน หรือสถานทูตใดๆจะเข้าไปแทรกแซง หรือขัดขวาง
ก็สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง มีกฎหมายของตนเอง ใครเข้ามาในสิงคโปร์ และทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมายของสิงคโปร์โดยเสมอหน้า
ประเทศกลุ่มอาเซียนของเรา ที่ยังใช้ “โทษโบย” อยู่ก็มีประเทศบรูไน จะลงโทษโบยตีผู้ที่ลอบทำแท้ง และดื่มสุรา
ประเทศอินโดนีเซีย (เฉพาะจังหวัดอาเจะห์) จะลงโทษตามกฎหมายอิสลามโดยการเฆี่ยน สำหรับการเล่นการพนัน การดื่มสุรา และการมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน และการที่คู่สมรส นอกใจกัน
“โทษโบย” หากเอามาใช้ในประเทศไทย ในกรณีทำความผิดทางอาญาในภาวะปกติแล้ว คงจะต้องโบยกันทุกอำเภอ ทุกจังหวัด รวมแล้ววันละหลายพันราย เพราะคนไทยไม่น้อยชอบดื่มสุรา ชอบเล่นการพนัน ชอบมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และชอบมีอีหนูบ้างมีกิ๊กบ้าง
ก็ดูจะทารุณไปหน่อย หากจะนำโทษโบยมาใช้ในประเทศไทย ในเหตุการณ์ปกติ
ตามหลักเกณฑ์กฎหมายอาญาของไทย เรามีโทษอยู่แล้ว 5 ประการ ตามความหนักเบาของการกระทำผิด ได้แก่
- โทษประหารชีวิต
- โทษจำคุก
- โทษกักขัง
- โทษปรับ
- โทษริบทรัพย์
ก็ดูจะเข้ากับหลักของประเทศฝรั่งที่อ้างตัวว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และอยู่ในระบอบประชาธิปไตย (ของโลกตะวันตกเอง)
แต่เมื่อเราเข้าสู่ภาวะวิกฤติต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เช่นถูกภัยจากไวรัสโควิด-19 โจมตี หรืออยู่ในระยะกฎอัยการศึก
เมื่อวันถัดไปจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อ 3 เมษายน 2563 ทั่วประเทศ ก็มีผู้ถูกจับกุมไปถึงพันกว่าราย
มีการไปปาร์ตี้กันตามบ้าน และตามโรงแรม มีการตั้งวงเล่นการพนันกันตามสวน และตามบ้าน มีการตั้งวงตีไก่ กันทีละ 20-30 คน ส่วนเยาวชนก็ยังเอามอเตอร์ไซค์ออกวิ่งแข่งกันตามคุณสมบัติของเด็กแว้น
โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง โดยไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และนักรบชุดขาวผู้อุทิศชีวิตต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของประชาชนคนไทย จนต้องสูญเสียชีวิตของตนเองไปก็มี
แล้วผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย ซึ่งได้แก่ รัฐบาล (ผู้ใช้อำนาจบริหาร) สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา (ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ) และตุลาการ (ผู้ใช้อำนาจตุลาการ) จะแก้ไขอย่างไร
โทษทั้ง 5 ประการข้างต้น คนไทยเจ้าสำราญ ก็ไม่แยแส ยอมถูกจองจำ ยอมถูกกักขัง ยอมถูกปรับ
เราจึงควรจะเพิ่ม “โทษโบย” ขึ้นมาได้หรือยัง
เมื่อบ้านเมืองอยู่ภายใต้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้ใดที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ เช่น หลบไปปาร์ตี้กัน หลบไปตั้งวงการพนันกัน หลบไปชนไก่กัน เอามอเตอร์ไซค์มาวิ่งแข่งกัน ไม่ยอมเข้าสู่การควบคุม 14 วัน เมื่อกลับจากต่างประเทศ หรือหลบข้ามเขตเข้าจังหวัดที่มีการ Lock Down อย่างผิดกฎหมาย ก็ให้เจ้าพนักงานของรัฐส่งขึ้นศาล เพื่อรับ“โทษโบย” หรือการเฆี่ยนหลัง หรือเฆี่ยนก้น ทันที
หรือเมื่อบ้านเมืองอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก หรือภาวะคับขันอื่นๆ หากยังชุมนุมมั่วสุมกันเกินกว่า 5 คนขึ้นไป หรือออกมาตั้งเวทีกันริมถนน หรือตามสวนสาธารณะ ก็ให้ศาลสั่งลงโทษโดยการ “โบย” สักครึ่งโหล หรือหนึ่งโหล
น่าจะได้ผลกว่าการไปฉีดน้ำ หรือการยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน
---------------
แล้วใครเล่าจะแก้ประมวลกฎหมายอาญา โดยการเพิ่ม “โทษโบย” เข้าไปอีกโทษหนึ่ง นอกเหนือจากโทษประหารชีวิต โทษจำคุก โทษกักขัง โทษปรับ โทษริบทรัพย์
โทษโบยจึงน่าจะเป็นโทษที่เบาที่สุด ที่น่าจะได้ผลมากกว่าโทษอาญาอื่น ในกรณีบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติ เช่นในปัจจุบันนี้
ผู้ที่ควรเสนอแก้ไข ก็น่าจะได้แก่
ผู้ใช้อำนาจบริหาร (รัฐบาล) โดยเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา หรือ
ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สภาทั้งสอง) ซึ่งมีสิทธิเสนอ พ.ร.บ.ต่างๆ ได้อยู่แล้ว
ส่วนผู้ใช้อำนาจตุลาการ (ศาล) ก็ควรเตรียมกระบวนการ“โบย” หรือเฆี่ยนด้วยหวายขนาดกี่ ซม., หรือไม้ไผ่เหลาขนาดใด ไว้ให้พร้อม และน่าจะโบยกันในห้องที่จัดไว้เฉพาะของศาลชั้นต้นทุกจังหวัด เพราะในการแก้กฎหมายนี้ ควรให้คดีจบแค่ศาลชั้นต้น ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา ด้วยเป็นโทษสถานเบา ที่จะให้ผู้คน เข็ดหลาบ โดยที่คดีไม่ยืดเยื้อ
“โทษโบย” นี้ไม่ควรมีผลไปถึงตัดสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง ตัดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง หรือตัดสิทธิในการสมัครเข้ารับราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ
หากผู้ใช้อำนาจทั้งสามแทนปวงชนชาวไทย อันได้แก่ รัฐบาล สภาทั้งสอง และศาล ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ก็ไปศึกษาได้จากเพื่อนประเทศอาเซียนของเราได้ อันได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซีย ได้
หากทั้งสามอำนาจยังไม่ทำ ก็เห็นจะต้องรอให้ประชาชน (รวมทั้งนักรบชุดขาวของเรา) รวมตัวกันเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ ขอแก้ไขกฎหมายต่อไป
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี