เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพกล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมผู้เสียหาย เข้าพบตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกับตน ในข้อหาฉ้อโกง และข้อหาขายสินค้าเกินราคา ตนขอชี้แจงว่าคืนวันที่เกิดเหตุคือต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตนได้กลับเข้าบ้านพักและได้เจอนายธนโชติ (สงวนนามสกุล)กับน.ส.น้ำแข็ง และ ผู้ชายชาวจีน1คน มาดักรอพบเพื่อให้ตนช่วยหาหน้ากากอนามัย 400, 000 ชิ้น เพื่อส่งไปยังประเทศจีน ให้ทันในเวลา 10:00 น. ของวันรุ่งขึ้นโดยแจ้งว่ามีเวลา ไม่เกิน 06:00 น ที่จะต้องหาสินค้าหน้ากากอนามัยขึ้นเรือให้ได้ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับเป็นจำนวนมาก ทั้งสามคน จึงขอความช่วยเหลือให้ตน ช่วยเป็นธุระจัดหาสินค้าหน้ากากอนามัย ให้โดยมีงบประมาณอยู่ที่ ชิ้นละ 15 .50 บาทซึ่งตนปฏิเสธไปและแจ้งว่าเวลานี้ต้องการพักผ่อน แต่ทั้ง 3 คนพยายามหว่านล้อมให้ตนช่วยดำเนินการโดยได้นำเงินสด 3 ล้านบาท เพื่อเเสดงความพร้อมในการชำระเงิน
"ตอนนั้นผมมีสต็อกที่สั่งจากต่างประเทศก่อนรัฐบาลจะมีประกาศห้ามในวันที่4-5กุมภาพันธ์ที่คงค้างในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเมื่อสอบถามถึงการส่งออกไปยังประเทศจีนว่าจะไปได้อย่างไรเพราะมีกฎหมายห้ามส่งออกอยู่ในขณะนั้น แต่ก็ได้รับคำตอบว่าพวกเขาสามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้ ผมจึงได้พาไปดู สินค้าที่เหลืออยู่ตั้งแต่ก่อนประกาศ เป็นสินค้าควบคุมว่ามีอยู่ 2 แสนกว่าชิ้นที่ไม่สามารถส่งให้ได้เพราะหลังจากที่มีประกาศดังกล่าวที่มีผลทางกฎหมายออกมาใช้บังคับ เพราะคนที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ไม่ยอมมารับสินค้า ในตอนทั้ง 3 คนแจ้งว่าจะขอรับหน้ากากอนามัยไว้ทั้งหมด ตอนนั้นผมไม่อยากจะเก็บเอาไว้อยู่แล้วเนื่องจากมีกฎหมายควบคุมราคาสินค้า จึงได้ตอบรับคำขอให้ช่วยจัดหา หน้ากากอนามัยให้เพิ่มจากที่มีอยู่จนครบจำนวน 400,000 ชิ้น ในราคา 15.50บาทต่อชิ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 6.2 ล้านบาท"นายพันธ์ยศ กล่าว
นายพันธ์ กล่าวต่อว่า ราคาหน้ากากอนามัยในขณะนั้นสูงมากและหาได้ยาก แต่นายธนโชติก็ยืนยันว่าคนจีนที่มาด้วยก้น ขอร้องให้ช่วยหาให้ได้ในงบประมาณที่กำหนดนี้ ตนจึงได้ประสานกับทีมงานที่รู้จักช่วยกันหาหน้ากากอนามัยโดยให้ทุกคนได้ยินการร้องขอของนายธนโชติไปพร้อมๆกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดของข้อมูลที่ได้รับ ปรากฏว่าได้มีทีมงานของนายอธิป (สงวนนามสกุล)บอกว่า สามารถจัดหาได้ แต่เป็นหน้ากากอนามัยแบบ 4 ชั้น นำเข้าจากเวียดนาม เนื่องจากในช่วงนั้น หน้ากากอนามัยภายในไทย ไม่สามารถที่จะหาได้ เพราะถูกคนจีนกว้านซื้อ ไปหมด โดยรับแจ้งว่าสินค้าอยู่ที่โกดังเก็บสินค้าย่านถนนพระราม 2 มี 200,000 ชิ้น แล้วให้โอนเงินค่าสินค้ามาก่อนทั้งหมด และจะนำสินค้าไปแต่ตนเพิ่งจะรู้จักกับนายอธิป ได้เพียงไม่กี่วัน จึงยังไม่มีความมั่นใจ ตนจึงแนะนำนายธนโชติให้ โอนเงินมัดจำค่าสินค้าไปเพียงบางส่วนให้แก่นายอธิปโดยนายธนโชติ ได้โอนเงิน 1,200,000 บาท เข้าบัญชีของตน เพื่อเป็นการยืนยันการทำงาน
“อีกทั้งตอนนั้นเป็นเวลาดึกมาก และ ต้องจ่ายเงินกันผมจึงแจ้งนายธนโชติว่า ควรไปดูสินค้าให้เรียบร้อยก่อนว่าถูกต้องตาม ที่นายอธิปได้แจ้งมาหรือไม่ ถ้าได้สินค้าตามที่รับเเจ้งมา ค่อยชำระเงินส่วนที่เหลือ ส่วนค่าประสานงานของผม ได้บอกนายธนโชติให้พิจารณาตามความเหมาะสม เพราะถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันเพื่อให้ผ่านปัญหานี้ไปได้เสียก่อน ต่อมาผมและนายอธิปไปจัดหาหน้ากากอนามัยจนครบจำนวนตามที่นายธนโชติระบุ เเต่จากนั้นปรากฏว่า ชาวจีนที่มากับนายธนโชติแจ้งผ่านนายธนโชติ ว่า ไม่ขอรับสินค้าทั้งหมด เพราะไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน และไม่ทันเวลาที่จะนำสินค้าไปขึ้นเรือ ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ตกลงดำเนินการในคราวนี้ ชาวจีนคนนั้นได้เป็นคนตอบตกลงและโอนเงินเพื่อยืนยันให้ตนดำเนินการ"
เมื่อนายธนโชติที่พาคนจีนคนนี้มาพบผมเเละยังได้ทำหน้าที่เป็นล่ามประสานงาน บอกว่าจะขอเงินมัดจำคืนทั้งหมด ผมจึงปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าสินค้าทั้งหมดไม่ได้เป็นของผม เเละผมก็ได้จ่าย เงินและค่าคอมมิชชั่นให้กับนายอธิปเเละทีมงานไปหมดแล้ว ซึ่งตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ตั้งแต่ต้นในกรณีนี้คือจะต้องชำระส่วนที่เหลือคือ 4,300,000 บาท จึงจะรับสินค้าทั้งหมดไปได้ คืนวันนั้นผมดำเนินการจนได้ผลสำเร็จตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นผมไม่สามารถคืนเงินมัดจำได้เนื่องจากเกิดความเสียหายเพราะจะต้องแบกรับภาระสินค้าส่วนหน้ากากอนามัยทั้งหมดหากไม่ยอมรับก็จะนำไปบริจาค เพื่อจะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบกัน เเต่ตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการโต้เถียงกัน “นายพันธ์ยศกล่าว
นายพันธ์ยศ กล่าวต่ออีกว่า หลังจากนั้นมีบุคคลหลายคน ทราบว่านายธนโชติส่งมาเจรจาและข่มขู่หลายรูปแบบตน หนึ่งในนั้นรวมไปถึงนายบอย(นาย ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี)ด้วย แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเเละไปให้ข่าวกับสังคมว่า ตนเป็นคนหลอกลวงทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นายพันธ์ยศ กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจนกระทั่งนายอัจฉริยะ ได้นำเรื่องนี้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจงเพราะที่ผ่านมาตนถูกคุกคามผ่านโซเชียลและช่องทางอื่นๆ มาโดยตลอด ซึ่งตนก็ได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้ทั้งหมด เพื่อที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่จ้างวานและข่มขู่ตนและครอบครัว ซึ่งตน ทราบรายละเอียดภายหลังว่า กลุ่มนี้น่าจะมีความเกี่ยวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัยเป็นจำนวนมาก และมีความสัมพันธ์กันอย่างสนิทสนม กับนายอ. ที่เคยนำชื่อของตนไปแอบอ้าง ให้เกิดความเสียหายมาก่อนหน้านี้เเละกลุ่มนี้ยังทำธุรกิจสีเทาหลายอย่างโดยตนพร้อมไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาล่าสุดหากมีการประสานมารวมทั้งพร้อมส่งข้อมูลเครือข่ายเเก๊งหน้ากากผีที่ทำธุรกิจสีเทาผิดกฎหมายหลายเรื่องให้เจ้าหน้าที่จัดการอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี