เปิดเบื้องหลังเดือดปมแตกหัก"ปรีดี"ไขก๊อกนั่งรมว.คลัง สะพัดขัดแย้งแต่งตั้งขรก.ในคลัง ด้าน“ประวิตร” ถกเครียด 3 รมต.พลังประชารัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง ได้ขอลาออกจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาทางด้านสุขภาพ ทำให้นายปรีดี เป็นรมว.คลังในตำแหน่งเพียงระยะเวลา 26 วันนับจากได้รับโปรดเกล้าฯ และ 20 วันนับจากเข้าถวายสัตย์ปฎิญาณ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:ราชกิจจาฯประกาศสำนักนายกฯ 'ปรีดี ดาวฉาย'ลาออกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง )

โดยสาเหตุการลาออกมีรายงานว่า แท้จริงแล้วเกิดจากความขัดแย้งในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงภายในกระทรวงการคลัง เริ่มจากการประชุมครม. สัญจร จ.ระยอง เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่นายปรีดี เสนอเอกสารโดยระบุชื่อนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต แต่ในที่ประชุม ครม.กลับขานชื่อว่าเป็นนายประภาส คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ทำให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทักท้วงว่าไม่สามารถทำได้เพราะชื่อที่ขานกับเอกสารที่นำเข้า ครม.ไม่ตรงกัน จึงขอให้กระทรวงการคลังถอนเรื่องออกไปก่อน 

สำหรับเบื้องหลังการแต่งตั้งอธิบดีกรมสรรพสามิต มีข่าวสะพัดว่า เนื่องจากมาจากมีเอกชนรายใหญ่ในวงการที่เกี่ยวข้องกับกรมสรรพสามิต ได้มีการฝากชื่อบางคนให้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งได้นำชื่อนี้มาฝากที่พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยผลักดันอีกทางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้มีการสลับรายชื่อในการประชุม ครม.สัญจร. จ.ระยอง ขณะที่นายปรีดี เองรู้สึกหัวเสียอย่างมาก และตัดสินใจว่า ถ้าหากตัวเองซึ่งเป็น รมว.คลัง ไม่สามารถแต่งตั้งลูกน้องที่ตัวเองเห็นสมควรได้ก็จะลาออกจากตำแหน่ง รมว.คลัง

ต่อมา ในการประชุมครม.วันที่ 1 ก.ย. นายปรีดี ได้เสนอการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังเข้ามาอีกครั้ง โดยยืนยันตามเอกสารที่เสนอ ครม.สัญจรที่ จ.ระยอง และที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงคลังเสนอ แต่นายปรีดี ยังคงตัดสินใจลาออกจากการร่วมรัฐบาล โดยที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบให้นายลวรณ แสงสนิท เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร นายจำเริญ โพธิยอด ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง และนาง
วรนุช ภู่อิ่ม ที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า กรมธนารักษ์ ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง   ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมครม.บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรีและตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะเดินทางออกจากทำเนียบฯ ได้หยุดยืนคุยกับรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน เป็นเวลานานกว่า 10 นาทีด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด และเดินทางออกจากทำเนียบฯ ไปทันที

และเมื่อเวลา 18.00 น.เวบไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เรื่องรัฐมนตรีลาออก ว่า ด้วย นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอลาออกจากตาแหน่ง ต้ังแต่วันที่ 2 กันยายน 2563 ความเป็นรัฐมนตรีของนายปรีดี ดาวฉาย จึงสิ้นสุดลงตั้งแต่ วันที่ 2 กันยายน 2563 ตามความในมาตรา 170 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศ ณ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2563  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนที่นายปรีดี จะมารับตำแหน่ง รมว.คลัง ได้อยู่ในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยและเป็นประธานสมาคมธนาคารไทย  โดยระบุกับคนใกล้ชิดหลายครั้งว่า ไม่ต้องการมารับตำแหน่ง รมว.คลัง   แต่ในที่สุดถูกนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย ได้ขอให้มาช่วยรัฐบาล นายปรีดีจึงต้องจำยอมเพราะถือนายบัณฑูรเป็นนาย เมื่อสั่งมาก็ต้องทำ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง รมว.คลัง ในการประชุมนัดแรกวันที่ 13 ส.ค.2563  นายปรีดี ได้ขวางข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย ที่จะให้ต่อสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์  จากสิ้นสุดสัญญาปี 2572 ต่อไปอีก 30 ปี จนถึงปี 2602 จะทำให้บีทีเอสได้รับสัมปทานรวม 60 ปี เพื่อแลกกับภาระหนี้ของกรุงเทพมหานคร ร่วม 70,000 ล้านบาท รวมทั้งกำหนดอัตราค่าโดยสารตลอดสายไม่เกิน 65 บาท

โดยนายปรีดี ระบุว่า เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งจึงขอนำเรื่องนี้ไปศึกษาและเสนอความเห็นก่อน ส่วนผลงานของนายปรีดี ได้เสนอ ครม.เห็นชอบ 5 มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) โดยนำวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารออมสินปล่อยไม่หมดมาจัดทำโครงการใหม่ รวมทั้งให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ปรากฏผลออกมาว่าได้ผลดีหรือไม่