อ่านโดยพลัน!‘อ.สุวินัย’ชำแหละทุกขด‘จอมบงการ’ ฟันเปรี้ยงจุดจบม็อบคณะราษฎร63
16 ตุลาคม 2563 รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความต่อเนื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุม ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Suvinai Pornavalai” (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ละครตลกร้าย! 'อ.สุวินัย'วิพากษ์ม็อบราชประสงค์ เป็น'ฮ่องกงโมเดล'เต็มรูปแบบแล้ว) มีเนื้อหาดังนี้...
แฟลชม็อบ : ขั้นตอนล่าสุดของม็อบคณะราษฏร 63 / สุวินัย ภรณวลัย
สรุปว่าเป็นแฟลชม็อบ ที่คืนนี้แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมตอนสี่ทุ่ม
ปรากฏการณ์วันนี้ เรียกได้ว่าเกิด Mass Action สมบูรณ์แบบแล้ว ในความหมายที่ว่า แกนนำสามารถนัดระดมมวลชนให้มาร่วมแฟลชม็อบต่อจากนี้ได้ทุกเมื่อ (เหมือนกับม็อบฮ่องกง)
หลังจากนี้แฟลชม็อบคงเกิดถี่ๆเป็นระยะๆอย่างแน่นอน ... ในอีกด้านหนึ่งคือการจุดติดแฟลชม็อบซ้ำอีกครั้งต่อจากเดือนมีนาคม หลังจากที่ซาไปในช่วงโควิดระบาด ... แต่ที่ต่างมากๆคือแฟลชม็อบครั้งนี้ได้ผนวกและชูข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” เป็นข้อเรียกร้องของม็อบด้วย
แฟลชม็อบคงเลือกราชประสงค์เป็นชัยภูมิของพวกตน แทนถนนราชดำเนินหรือสนามหลวงหลังจากนี้อย่างแน่นอน เพราะสะดวกในหลายๆด้าน
ปัญหาก็คือ แฟลชม็อบระดับเรือนหมื่นแบบนี้จะนัดชุมนุมที่ราชประสงค์ทุกวันหรือทุกอาทิตย์ได้นานแค่ไหน ... ต่อให้ทำได้ก็ไม่มีทางล้มรัฐบาลพลเอกประยุทธ์และบีบให้สถาบันกษัตริย์ “ปฏิรูปตนเอง” ได้หรอก
จุดจบของม็อบคณะราษฏร 63 หลังจากนี้คงไม่น่าต่างจากม็อบฮ่องกงเท่าไรนัก แต่คงยืดเยื้อไปอีกพักใหญ่อย่างแน่นอน
พลังของคนรุ่นใหม่ที่สนใจปัญหาปัญหาบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ดีนะ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกดีกับพวกเขา
... แต่วิชั่นที่พวกเขามองปัญหาความเป็นจริงปัจจุบันและการมองอนาคตนั้น มันบกพร่องแบบกลัดกระดุมผิดเม็ดตั้งแต่เม็ดแรก ผิดพลาดที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล มัวเมากับการเสพข้อมูลที่บิดเบือนอย่างเหลือเชื่อ จนแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ .... ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง
“ศัตรู” ที่แท้จริงของคนรุ่นใหม่คือความคิดและวิธีคิดที่ยังบกพร่องของพวกเขาเองต่างหาก ... หาใช่สถาบันกษัตริย์แต่อย่างใดไม่
ประเทศไทยหลังจากนี้คงยากที่จะกลับไปเหมือนเดิมแล้ว
99999999999999999999999
จากนั้น รศ.ดร.สุวินัย โพสต์ข้อความต่อเนื่อง ระบุว่า...
อาการเสพติดเกมการเมืองออนไลน์กับผลลัพธ์ที่ปลายทาง / สุวินัย ภรณวลัย
เหมือนคนติดยาเสพติด คิดไม่ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ในทางสังคมวิทยา สิ่งที่เราเห็นในพฤติกรรมของผู้คนจำนวนไม่น้อยคือการมีอาการ “เสพติดเกม(การเมือง)ออนไลน์” อย่างขาดสติและขาดความยับยั้งชั่งใจ แล้วแสดงมันออกมาทางการเมืองนั่นเอง
ไม่ต้องมา “ตอแหล” สรุปสาธยายด้วยข้อมูลเท็จเพื่อหลอกพวกเดียวกันเองหรือสังคมหรอกว่า ฝ่ายตนออกมาเคลื่อนไหวอย่างพลังบริสุทธิ์ด้วยจิตใจเปี่ยมอุดมการณ์ทั้งหมด เพราะภาพเหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลานั้น มันบ่งบอกคุณภาพความจริงเบื้องลึกในจิตใจของตัวเองไว้หมดแล้ว
ความเกลียดชังที่ได้รับการปลูกถ่ายสะสมเอาไว้ในโลกออนไลน์มันได้ระเบิด สำแดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านเหตุการณ์ล้อมขบวนเสด็จในวันที่ 14 ตุลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
พฤติกรรมแบบ “ปฏิกษัตริย์” ... ถ้าลองกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผยในชุมชนโลกออนไลน์แบบรวมหมู่อย่างมาร์เก็ตเพลส ไม่ช้าก็เร็วมันย่อมปรากฏในโลกจริงอย่างแน่นอน และไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นกล้าแตะสถาบันอย่างเหตุการณ์ล้อมขบวนเสด็จ โดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป
โลกไม่ได้สวยงามอย่างที่หลายท่านคิด
คนที่อยู่เบื้องหลังม็อบคณะราษฏร 63 และออกแบบวาทกรรมให้ม็อบคณะราษฏร 63 เป็นคนฉลาดลึกซึ้งแต่เลือดเย็นมาก คนพวกนี้มีอาวุธ Soft Power อยู่ในมือ นั่นคืออัลกอริทึ่มที่สามารถ “ควบคุมความคิดจิตใจผู้คน” (mind control ) ได้อยู่หมัดผ่านโซเชียลมีเดีย โดยไม่ต้องปรากฏตัวให้โลกรับรู้เลย
แต่การจะควบคุมความคิดจิตใจผู้คนได้ ก่อนอื่นต้องทำให้ผู้คนเสพติดโซเชียลดุจติดยาเสพติดเสียก่อน ... ถึงจะได้ผล
อาการของคนเสพติดโซเชียล โดยเฉพาะทวิตเตอร์ แทบไม่ต่างจากคนติดการพนันออนไลน์แต่อย่างใด นั่นคือขาดความยับยั้งชั่งใจ แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ ควบคุมพฤติกรรมตัวเองไม่ได้
... แต่ที่หนักกว่าอาการติดเหล้า ติดการพนันออนไลน์ก็คือ เจ้าตัวไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองมีอาการเสพติดการเมืองออนไลน์ และถูกควบคุมความคิดจิตใจด้วยอัลกอรึทึ่ม มิหนำซ้ำมันเกิดขึ้นแบบรวมหมู่กับคนจำนวนมาก ที่เสพติดเกมการเมืองออนไลน์เหมือนกัน
นี่คือ สภาพแห่งตัวตนที่แท้จริงของวิกฤตบ้านเมืองที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งก็คืออาการเสพติดเกมการเมืองออนไลน์แบบรวมหมู่ผ่านการเสพโซเชียล โดยที่ไม่มีพลังแห่งสติมากพอที่จะถอดถอนจิตตัวเองจากการถูกอัลกอริทึ่มครอบงำบงการ
การสร้างกระแสความเกลียดชัง มันมีมากและถี่ขึ้น มันเริ่มจากเรื่อง วยาคติ (ageism) ที่มีอคติต่อคนต่างวัย
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” ทำการทดสอบระบบ mind control ของตน ผ่านหัวข้อ วยาคติ เสียก่อน ว่ามันใช้ได้ผลหรือไม่ โดยเริ่มปั่นกระแสอย่างจริงจังตั้งแต่ปีที่แล้ว
... ผลที่ออกมานั้นต้องเรียกได้ว่า ได้ผลเกินคาด
พอทดลองปั่นเรื่องวยาคติ (เหยียดคนรุ่นเก่าโดยคนรุ่นใหม่) ได้ผลดีเยี่ยมแล้ว จากนั้นจึงทำการปั่นเรื่อง ปฏิกษัตริย์ อย่างจริงจังต่อ ซึ่งก็ได้ผลมากเช่นกัน
เริ่มจากทดลองสะกิดปัญหาในเรื่องของ ช่องว่างระหว่างวัย แล้วยกระดับขึ้นมาเป็นวยาคติแบบเต็มรูปแบบ
ต่อจากนั้นจึงปล่อยให้วาทกรรมนั้นเลื่อนไหลไปสู่การนิยามทับซ้อนในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าทันสมัย-ล้าหลัง ก้าวหน้า-จมปลัก ฯลฯ
จากนั้นก็แค่ทำให้ความขัดแย้งนั้นถูกนิยามได้ง่ายขึ้น แพร่หลายง่ายขึ้น และเสพง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ชนิดที่อยู่เฉยๆเล่นโซเชียลคนเดียวก็สามารถที่จะขัดแย้ง เกลียชัง รู้สึกเป็นขั้วตรงข้ามกับผู้อื่นได้
ในที่สุดก็สามารถที่จะแบ่งผู้คนจนขัดแย้งทางความคิด แตกแยกออกจากกันแม้แต่ในระดับครอบครัวทั่วทั้งสังคมไม่ว่า ผัวเมีย พี่น้อง พ่อแม่ลูก
นี่คือความสำเร็จขั้นสูงของการควบคุมความคิดจิตใจของผู้คน
ขบวนการ Hate Speech ต่างๆที่ผู้คนได้ร่วมกันรณรงค์ผลักดัน มันมาขมวดปมให้เห็นแล้วในเหตุการณ์ล้อมขบวนเสด็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาที่ผ่านมา
หลังจากนี้ไปมันจะไม่เหมือนเดิม แต่จะหนักขึ้น รุนแรงมากขึ้น และถึงเนื้อถึงตัวทางกายภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนี้เราเห็นชัดเจนแล้ว
เพราะแนวทางการควบคุมจิตใจผู้คนผ่านอัลกอริทึ่ม มันถูกกำหนดให้เป็นแมส เพื่อให้เข้าถึงทุกคนได้มากขึ้นนั้นเอง
สันติสุขความสงบของบ้านเมืองไม่เกิดขึ้นง่ายๆหรอก จนกว่าจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมนองเลือดขึ้นมา ถึงค่อยมีความยับยั้งชั่งใจกัน
ผมแลเห็นความล้มเหลวของบ้านเมืองรออยู่ปลายทางข้างหน้าในอนาคตอันใกล้นี้นะ โดยที่ต้นตอสาเหตุจริงๆน่าจะอยู่ที่ความคิดอ่านของปัจเจกชนที่ไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ และไม่สามารถถอดถอนอัตวิสัยแห่งอัตตาของตัวเองลงได้
เพราะตัวเองได้กลายเป็นคนเสพติดเกมการเมืองออนไลน์ ที่ถูกบงการด้วยอัลกอริทึ่มไปเรียบร้อยแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี