พจนานุกรมภาษาไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายสำนวนไทยของคำว่า“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ไว้ดังนี้คือ พอเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ทำร้ายบุคคลสำคัญที่เคยช่วยเหลือการงานของตน หรือ เมื่อเสร็จการเลือกตั้ง ก็เปลี่ยนหัวหน้าทีมเลือกตั้งใหม่ เข้าทำนองเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล บุคคลที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยภารกิจการงานจนสำเร็จ ถูกกำจัดออกเมื่อหมดผลประโยชน์
ความหมายของสำนวนไทยดังกล่าว ตรงกับสุภาษิตจีนที่แปลความได้ว่า“ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง” ความหมายในภาษาอังกฤษก็คือ butcher the donkey after it finished his job on the mill. ซึ่งทั้งสองสำนวนมีความหมายในทำนองเดียวกัน เพราะคนจีนหรือคนไทยในยุคก่อนใช้สัตว์เลี้ยงทำงานแทนคน ไม่ว่าจะเป็นการโม่แป้งหรือไถนา ครั้นเมื่อเสร็จภารกิจหมดความจำเป็น สัตว์เลี้ยงเหล่านั้น ก็มักจะถูกฆ่าเป็นอาหารให้คนกิน สำนวนไทยดังกล่าว จึงมักถูกนำมาเปรียบเทียบและนำมาใช้ในทางการเมืองและการงาน ทำให้ได้ยินได้ฟังจนคุ้นหู โดยไม่รู้ว่าไทยลอกเอามาจากสำนวนจีนหรือจีนเอาไปจากสำนวนไทย
สำนวนไทยเรื่อง“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งจนดังกระฉ่อนไปทั้งเมือง และดูจะสอดคล้องเหมาะกับบรรยากาศและเหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันของบ้านเราอย่างยิ่ง หลังจากที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกบรรดาแกนนำ กปปส.คนละหลายกรรมหลายกระทงความผิดและคนละหลายปีมากน้อยต่างกันไป โดยศาลไม่รอลงอาญา หลังจากศาลมีคำพิพากษา บางคนก็ได้ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป แต่หลายคนต้องถูกคุมขังระหว่างรอการประกันตัวจนข้ามคืนถึง 2 วัน จึงได้รับการประกันตัวปล่อยชั่วคราวออกมาจากเรือนจำ ทำให้มีผลต่อตำแหน่ง สส.และรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ว่าต้องสิ้นสุดลงหรือไม่ ดังที่ปรากฏรายละเอียดตามข่าวอันเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไป
กรณีดังกล่าว ทำให้ประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรมนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และผู้ที่สนใจติดตามปัญหาของบ้านเมือง ต่างคิดและมองว่ากรณีที่แกนนำ กปปส.ต้องถูกคำพิพากษาให้ลงโทษเช่นนี้ เปรียบได้เหมือนกับสำนวนไทยดังกล่าวนั่นเอง คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนต้องคิดถึงสำนวนไทยบทนี้ เพราะต่างเป็นที่ทราบกันดีอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงตะวันว่า เป็นเพราะมีการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน เรือนแสนเรือนล้านคนทั่วประเทศ ที่สามัคคีรวมพลังกันภายใต้การนำของแกนนำ กปปส.ทั้ง 39 คน ที่ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และโค่นล้มอำนาจ“ระบอบทักษิณ” เป็นเวลาร่วม 200 วัน อย่างคึกคักเข้มแข็งถึงที่สุด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 28 คน บาดเจ็บจากการถูกลอบยิง ลอบทำร้าย วางระเบิด และการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับใช้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีกถึง 780 คน จึงสามารถโค่นล้มขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เปิดช่องสร้างเงื่อนไขให้โอกาสแก่ คสช.ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวก ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ พร้อมนำพี่น้อง 3 ป.และเพื่อนพ้องน้องพี่ เข้ามามีอำนาจสูงสุดในทางการเมืองจนขณะนี้
รัฐบาลทหารที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ ได้ครองอำนาจปกครองประเทศด้วยการใช้กำลังทหารยึดอำนาจเป็นเวลาถึง 5 ปีเศษ จนกระทั่งเมื่อร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองเสร็จสิ้นแล้ว จึงจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองบริหารประเทศได้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยได้มีการรวบรวมพรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่เคยร่วมรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ มาเป็นฐานการเมืองรองรับอำนาจ จับมือกันเข้าร่วมเป็นรัฐบาลในปัจจุบัน ทั้งที่เคยประกาศจะปฏิรูปการเมือง-ปฏิรูปประเทศ และตำหนินักการเมืองเก่าเหล่านั้น แต่สุดท้ายก็หันไปจูบปากจับมือกับนักการเมืองเก่าน้ำเน่าหน้าเดิมๆ เพื่อให้มาเป็นฐานรองรับการขึ้นสู่อำนาจของตน ภายหลังการเลือกตั้ง
เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ว่า หากไม่มีการต่อสู้ของ กปปส.ก็ไม่มีชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีพี่น้อง 3 ป.ที่จะผงาดขึ้นมามีอำนาจปกครองบ้านเมือง และไม่มีบรรดานักการเมืองเก่าน้ำเน่า ขึ้นมามีอำนาจอย่างทุกวันนี้อย่างแน่นอน ระบอบทักษิณก็จะยังดำรงอยู่ พี่น้อง 3ป.ก็จะเป็นได้แต่เพียงลูกน้องและลูกไล่ของระบอบทักษิณเท่านั้น ผู้คนทั้งหลายจึงเปรียบแกนนำ กปปส.เหล่านี้ ช่างเหมือนโคถึกที่ไถ่นาทำทางให้รัฐบาลประยุทธ์กับพวก แต่ในที่สุดพวกเขาที่เคยเป็นขุนพล เป็นกำลังสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กำลังถูกฆ่าให้จบชีวิตทางการเมือง และอาจถูกจองในคุก สูญสิ้นอิสรภาพและหมดอนาคต หากถึงที่สุดผลคดีไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
รัฐบาลประยุทธ์เมื่อมีอำนาจจากการรัฐประหารก็ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดให้กับตนเองและพวก เพื่อให้พ้นความผิดจากการยึดอำนาจ รัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่เคยคิดที่จะนิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนกลุ่มต่างๆที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง รวมถึงแกนนำ กปปส. แม้จะประกาศสร้างความปรองดองสมานฉันท์ สลายความขัดแย้งทางการเมือง ยุติสงครามระหว่างสีการเมืองกลุ่มต่างๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็หายไปในสายลมและแสงแดด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาคงเพลิดเพลินอยู่กับความสุขในการเสวยอำนาจเท่านั้น แต่ปล่อยให้ประชาชนและแกนนำ ที่ออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไปเผชิญชะตากรรมดิ้นรนต่อสู้เอาเอง ที่สุดแกนนำ กปปส.จึงต้องเผชิญวิบากกรรมดังที่เห็นและเป็นไปในขณะนี้ เป็นชะตากรรมที่โหดร้ายน่าเห็นใจและหดหู่ใจที่สุด สำหรับนักต่อสู้ผู้เสียสละเพื่อประชาชน พวกแกนนำกปปส.วันนี้พวกเขา จึงไม่ต่างอะไรกับสำนวนไทย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” นี่คือบทเรียนอันเจ็บปวดอีกครั้งที่ประชาชนควรจดจำ เพราะกรณีเช่นนี้ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เคยได้รับมาแล้วไม่แตกต่างกัน
การเมืองในวันนี้ มีแต่พวกกระสันอยากมีอำนาจ กับพวกรอเวลาเข้ามามีอำนาจ ไม่ว่าจะมาจากทหารหรือนักการเมืองก็ตาม หากเป็นนักการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ ไม่มีจุดยืนอันแน่วแน่เพื่อชาติและประชาชน คิดแต่เรื่องการเมือง คิดแต่เรื่องอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มตนและพวกพ้องเท่านั้นแล้ว พวกเขาก็พร้อมกระทำทุกวิถีทาง เพื่อรอคอยและฉกฉวยโอกาส เหยียบย่ำประชาชนขึ้นสู่อำนาจ หรือหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ยากที่จะหาความจริงใจหรือหาคนที่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ตราบใดที่มวลมหาประชาชนทั้งหลาย ไม่มีผู้นำประเทศหรือพรรคการเมืองอุดมการณ์ ที่มีจุดยืนและจิตใจกล้าหาญ กล้าต่อสู้ กล้าเสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ขึ้นมายึดกุมอำนาจรัฐมีอำนาจการปกครองบ้านเมือง โดยเคารพและเข้าใจประชาชน ยึดถือประโยชน์ชาติโดยแท้จริงแล้ว กรณีอย่างแกนนำ กปปส.ก็จะมีให้เห็นคู่การเมืองไทยไปอีกนาน พวกฉวยโอกาสตีกินทางการเมือง ก็เวียนหน้าเข้ามามีอำนาจต่อไปไม่จบสิ้น
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี