วันนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาเพิ่มขึ้น และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
2.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม (คค.) ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ทส. รับความเห็นของ คค. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างประกาศฯ
เป็นการกำหนดพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง รายละเอียด ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
1. คำนิยาม |
กำหนดคำนิยามคำว่า แนวชายฝั่งทะเล ชายหาด อธิบดี และกรม เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น |
2. กำหนดพื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ และพื้นที่ภายในแนวเขตตามแผนที่เป็นพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง |
(1) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน แม่น้ำ และเกาะ ภายในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองไหโล๊ะ ป่าคลองปอ ป่าคลองกันตัง ในท้องที่ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา ตำบลบ่อน้ำร้อน ตำบลบางสัก ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2524 (2) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน และเกาะ เฉพาะที่อยู่ในจังหวัดตรัง ภายในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเกาะเภตรา เกาะเขาใหญ่ และหมู่เกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลเกาะสุกร อำเภอ ปะเหลียน จังหวัดตรัง ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า ตำบลแหลมสน และตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2527 (3) พื้นที่น่านน้ำทะเล ชายหาด ป่าชายเลน และเกาะ ภายในแนวเขตตามประกาศ กษ. เรื่อง กำหนดเขตห้าม ล่าสัตว์ป่า ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ลงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2522 (4) พื้นที่ภายในแนวเขตตามประกาศจังหวัดตรัง เรื่อง กำหนดห้ามใช้เครื่องมือประมงบางชนิด ทำการประมงในบริเวณแหล่งหญ้าทะเลภายในพื้นที่ที่กำหนด พ.ศ. 2535 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 |
3. กำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกำหนดหลักเกณฑ์มิให้ดำเนินการในเขตพื้นที่ดังกล่าว |
(1) บริเวณที่ 1 พื้นที่ชายหาดทั้งบริเวณชายฝั่งและบนเกาะ โดยกำหนดห้ามทำให้เกิดมลพิษและเททิ้งขยะที่มีผลทำให้คุณภาพชายหาดเสื่อมโทรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กำหนดห้ามกระทำการใด ๆ ที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางธรณีสัณฐาน หรือสภาพทางธรรมชาติของชายหาด หรือทำให้ทัศนียภาพของชายหาดเสียไป ห้ามก่อสร้างเพิงพัก ศาลา อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ รวมทั้งการจัดวางร่ม โต๊ะ เตียง หรือที่นั่งบริเวณชายหาด และการขับขี่ยานพาหนะบริเวณชายหาด และกำหนดห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่และการปรับภูมิทัศน์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชายหาด ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันตะกอนดินไหลลงทะเล รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นและวัสดุลงสู่ชายฝั่ง ชายหาด และทะเล (2) บริเวณที่ 2 พื้นที่น่านน้ำ ภายในแนวเขตตามแผนที่แนบท้าย โดยกำหนดห้ามทำให้เกิดมลพิษ ขยะ สารแขวนลอย ตะกอนแขวนลอย และสารปนเปื้อนจากการเดินเรือ การจอดเรือ การขนส่งหรือการขนถ่าย ที่มีผลทำให้คุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมหรือเสียสภาพความเป็นธรรมชาติ กำหนดห้ามทำการประมงอวนปลากระเบนเบ็ดราไวย์ อวนชักหรืออวนทับตลิ่ง อวนล้อมหรืออวนล้อมหิน อวนถ่วงหมึกที่วางในแหล่งหญ้าทะเล หรือการทำการประมงด้วยวิธีการอื่นใดที่เป็นอันตรายต่อพะยูน โลมา และเต่าทะเล กำหนดห้ามการขุดลอกและการทิ้งดินตะกอนจากการขุดลอกที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือความเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกำหนดการประกอบการท่องเที่ยวเพื่อชมพะยูน โลมา เต่าทะเล หรือการท่องเที่ยวในแนวหญ้าทะเล ต้องเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กำหนดให้การนำเรือเข้าไปในแหล่งหญ้าทะเลและที่อยู่อาศัยของพะยูน ต้องนำเรือเข้า – ออกได้เฉพาะตามเส้นทางที่กรมประกาศกำหนด และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายต่อแหล่งหญ้าทะเลและที่อยู่อาศัยของพะยูน (3) บริเวณที่ 3 พื้นที่เกาะซึ่งอยู่ภายในเส้นเขตตามแผนที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยกำหนดให้การก่อสร้างอาคาร การดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชายหาดและชายฝั่งที่น้ำทะเลท่วมถึง ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันตะกอนดินไหลลงชายฝั่ง ชายหาด และทะเล รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นและวัสดุลงสู่ชายฝั่ง ชายหาด และทะเล ทั้งจากการก่อสร้าง และการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้าง |
4. กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล |
(1) จัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยแนวทางการอนุรักษ์และคุ้มครองสัตว์ทะเลหายาก การดูแลและฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยหรือแหล่งหากิน การคุ้มครองและการดูแลรักษาสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การติดตามและประเมินผล (2) สนับสนุนโครงการส่งเสริมองค์ความรู้ท้องถิ่นหรือกิจกรรมแก่ชุมชน ในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรม เพื่อการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่กรมประกาศกำหนด (3) ให้คำปรึกษาข้อมูลแก่ชุมชน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (4) กำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง |
5. การบังคับใช้กฎหมาย |
- พื้นที่ตามข้อ 2 หากมีกฎหมายใดกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ และเป็นมาตรการที่ไม่ต่ำกว่ามาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือมีมาตรการที่ดีกว่าในการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ก็ให้เป็นไปตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น |
6. วันบังคับใช้ |
- ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ |
3.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ มท. เสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้วัยรุ่นในเขตราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เพื่อให้วัยรุ่นมีสิทธิตัดสินใจด้วยตนเอง และมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ ได้รับการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ได้รับการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว ได้รับการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเสมอภาคและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และได้รับสิทธิอื่นใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นต้องจัดให้มีสถานที่หรือสถานบริการเพื่อบริการอนามัยการเจริญพันธุ์หรือสถานบริการอื่นที่อยู่ใกล้เคียง และต้องจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ในการให้บริการข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งให้คำปรึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ทั้งนี้ การให้คำปรึกษาจะต้องรักษาความลับและ ความเป็นส่วนตัวของวัยรุ่น
2. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นจัดสวัสดิการทางสังคมให้แก่วัยรุ่น เช่น ส่งเสริมการฝึกอบรมในการประกอบอาชีพหรือจัดหางาน ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือทางกระบวนการยุติธรรม
3. กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นจัดให้มีระบบการประสานส่งต่อและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนงานโครงการและให้มีงบประมาณ หรือสนับสนุนงบประมาณให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคประชาชนหรือองค์กรการกุศลตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงสถานะทางการคลัง
4. การดำเนินการใดที่ได้ดำเนินการไปก่อนตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้
4.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2531 โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 - 2530 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 16 มีนาคม 2531 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2531
2. ต่อมาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาแล้วเห็นควรแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องโดยยกเลิกมาตรฐานเดิมตามข้อ 1 และกำหนดมาตรฐานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยี และส่งเสริมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยสอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ในคราวประชุมครั้งที่ 675 – 8/2562 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐานฯ สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท มาตรฐานเลขที่ มอก. 51 - 25XX แล้วให้ สมอ. ดำเนินการต่อไป
3. สมอ. ได้ดำเนินการจัดทำประกาศสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เรื่อง การยกเลิกการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋องต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 และได้รับฟังความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 แล้ว
4. กมอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 690 - 8/2563 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 เห็นชอบให้ สมอ. ดำเนินการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 25XX ต่อไป
5. สมอ. จึงได้จัดทำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5988 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋อง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2563 กำหนดให้มีผลตั้งแต่กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 2562 ใช้บังคับเป็นต้นไป
6. โดยที่พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับแล้ว และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 17 ซึ่งบัญญัติให้เพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน หรือแก่กิจการอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจของประเทศ คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอาจเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชนิดใดต้องเป็นไปตามมาตรฐานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของมาตรฐานก็ได้ ดังนั้น การกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน จำเป็นต้องออกกฎกระทรวง
7. สมอ. ได้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยทั้งนี้ เป็นไปตามความในมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511
8. อก. ได้จัดทำผลกระทบจากการบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนี้
8.1 ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบ
ผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท
8.2 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทภายในประเทศ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน อันเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในการซื้อผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
8.3 ผลกระทบด้านสังคม
ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
8.4 ผลกระทบด้านสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทจะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่กำหนดใหม่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานมีผลใช้บังคับตามมาตรา 27 (3) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงผู้จำหน่ายจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ทำหรือนำเข้าโดยผู้ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน
8.5 ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมจะได้รับ
เป็นการส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ทำและนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว จะทำให้ประชาชนจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิทต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 51 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5988 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดกระป๋อง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สับปะรดในภาชนะบรรจุปิดสนิท ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พณ. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 โดยกำหนดให้ “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” หมายความว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นร่องลึกในส่วนที่เป็นภาพพิมพ์ ในการพิมพ์ต้องใช้แรงกดสูงมาก เพื่อให้กระดาษสามารถดึงหมึกพิมพ์ที่มีความหนืดสูงออกจากร่องหมึกขึ้นมากองเป็นเส้นนูนซึ่งรับความรู้สึกได้ตามพิกัดอัตราศุลกากร 8443.19.00 และ “เครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสี” หมายความว่า เครื่องถ่ายเอกสารที่สามารถผลิตภาพจากต้นฉบับสี ตามพิกัดอัตราศุลกากร 8443.32.90 8443.39.11 8443.39.20 8443.39.30 และ 8443.39.90 เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร
2. ต่อมาได้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีผู้ประกอบการทำหนังสือขอหารือมายัง พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) ว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรอยู่ในข่ายควบคุมตามประกาศหรือไม่ เช่น เครื่องพิมพ์เขียวแบบแปลน เครื่องพิมพ์สติกเกอร์ เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด และเครื่องพิมพ์ยี่ห้อบนผ้า ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของประกาศฯ คือ ควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรของสินค้าประเภทที่สามารถปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร แต่สินค้าที่ผู้ประกอบการหารือมานั้นไม่ได้อยู่ในข่ายควบคุมดังกล่าว แต่เนื่องจากประกาศฯ ไม่ได้มีการแยกพิกัดอัตราศุลกากรไว้โดยเฉพาะจึงทำให้เป็นปัญหาในการแยกประเภทการควบคุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรจะไม่สามารถตรวจปล่อยสินค้าดังกล่าวได้จนกว่าผู้ประกอบการจะมีหนังสือแจ้งตอบกลับจาก พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ)
3. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศจึงได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กรมศุลกากร สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวม 4 ครั้ง เพื่อพิจารณาทบทวนขอบเขตของสินค้าควบคุมคือเครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีตามประกาศฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของการควบคุมสินค้า สถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการด้วย โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
3.1 ให้ควบคุมการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเฉพาะเครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ โดยให้แก้ไขบทนิยามตามประกาศ คำว่า “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” หมายความว่า เครื่องพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นร่องลึกในส่วนที่เป็นภาพพิมพ์ ในการพิมพ์ต้องใช้แรงกดพิมพ์สูงมากเพื่อให้กระดาษสามารถดึงหมึกพิมพ์ที่มีความหนืดสูงออกจากร่างแม่พิมพ์ขึ้นมากองนูนบนกระดาษ สามารถรับความรู้สึกว่านูนได้โดยการสัมผัส เครื่องพิมพ์มีทั้งชนิดป้อนแผ่นและป้อนม้วน ส่วนประกอบหลักของเครื่องพิมพ์เส้นนูนที่ต้องมี เช่น หน่วยป้อนกระดาษ (Feeder Unit) หน่วยพิมพ์ (Printing Unit) หน่วยเช็ดหมึกพิมพ์ (Wiping Unit) หน่วยจ่ายหมึกพิมพ์ (Inking Unit) หน่วยรับกระดาษ (Delivery Unit) หน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM
3.2 ให้ยกเลิกการควบคุมการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรของเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีทุกพิกัดอัตราศุลกากร เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร คือ ป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร สำหรับเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น หนังสือเดินทาง เช็ค และใบหุ้น มีคุณสมบัติหรือลักษณะพิเศษที่ ตช. สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสี
3.3 ให้ พณ. ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... โดยกำหนดบทนิยามคำว่า “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” และยกเลิกการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรของเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีทุกพิกัดอัตราศุลกากรตามประกาศดังกล่าว
3.4 ให้กรมศุลกากรออกประกาศแก้ไขเพิ่มเติมรหัสสถิติสินค้าเครื่องพิมพ์อินทาลโย รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ตามบทนิยามตามข้อ 3.1 ให้แล้วเสร็จก่อนเสนอร่างประกาศฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งต่อมากรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 180/2563 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมรหัสสถิติสินค้าสำหรับเครื่องพิมพ์อินทาลโยเพื่อกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อยและรหัสสถิติสำหรับเครื่องพิมพ์อินทาลโย รวมถึงชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์แล้ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
4. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม โดยกำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือเลียนแบบธนบัตร
5. พณ. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศในเรื่องนี้ ดังนี้
5.1 วันที่ 4 – 26 สิงหาคม 2563 ประสานกับ ธปท. ตช. กรมศุลกากร สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยทั้ง 5 หน่วยงานเห็นด้วยกับร่างประกาศฯ
5.2 วันที่ 4 สิงหาคม – 14 กันยายน 2563 จัดทำการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ โดยมีผู้ให้ความเห็น 2 ราย เห็นด้วยกับร่างประกาศฯ
5.3 วันที่ 8 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2563 ประสานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสาร โดยมีผู้ให้ความเห็น 22 ราย เห็นด้วยกับร่างประกาศฯ 21 ราย และไม่เห็นด้วย 1 ราย
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยและเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557
2. ให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยรวมถึงชิ้นส่วนครบสมบูรณ์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 8443.19.00 – 001/C62 และ 8443.19.00 – 999/KGM เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
3. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
6.เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ รง. รับความเห็นของ กค. สำนักงบประมาณ และ สปสช. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (31 มีนาคม 2563) เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] เห็นชอบให้กองทุนของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าว ดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายฯ และเห็นชอบให้กองทุนของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าว
2. ประกอบกับพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 13 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอำนาจกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง และมาตรา 13 วรรคสอง บัญญัติให้มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างดังกล่าว เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 53 กำหนดให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอำนาจกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตรและค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร และมาตรฐานขั้นต่ำดังกล่าวเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร ลงวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2534 และร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ รวม 3 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 พฤศจิกายน 2563) เห็นชอบในหลักการและอยู่ระหว่างดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ นั้นยังไม่ครอบคลุมถึงกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
3. ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในรัฐวิสาหกิจ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 31 มีนาคม 2563 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ลงวันที่ 3 เมษายน 2563 รง. จึงได้ยกร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เพื่อรองรับให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้าย หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายฯ
4. ในการประชุมคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบร่างประกาศตามข้อ 3.
5. รง. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้ และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยประมาณการรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นไปตามประมาณการค่ารักษาพยาบาลของแต่ละรัฐวิสาหกิจที่กำหนดไว้ในปี 2564 จำนวน 6,230 ล้านบาท คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งร่างประกาศฉบับนี้จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดรวมกว่า 285,598 คน ได้รับการคุ้มครอง และทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายให้แก่สถานพยาบาลได้โดยเร็ว
จึงได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดนิยามคำว่า “ค่าใช้จ่าย” “ผู้ป่วย” และ “สถานพยาบาล”
2. กำหนดสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันโรคโดยให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าใช้จ่ายอื่นสำหรับตนเอง คู่สมรส หรือบุตร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่ สธ. กำหนด
3. กำหนดสิทธิการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง กรณีผลการตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อ แต่ยังมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน โดยกำหนดให้สิทธิในการได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล ให้นำประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงานมาใช้บังคับ
4. กำหนดสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง คู่สมรสหรือบุตร กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
5. กำหนดให้กรณีลูกจ้าง คู่สมรส หรือบุตร หรือญาติ ปฏิเสธการส่งต่อผู้ป่วยไปรับการดูแลรักษายังสถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
6. กำหนดให้เมื่อ สปสช. หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดค่าใช้จ่ายกรณีการเจ็บป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ แจ้งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้นายจ้างทราบแล้ว ให้นายจ้างจ่ายค่าใช้จ่ายตามแนวทางที่ สธ. กำหนด ให้แก่สถานพยาบาลภายในสิบห้าวัน นับจากวันที่ สปสช. หรือหน่วยงานดังกล่าวแจ้ง
7. กำหนดให้สถานพยาบาลมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายแทนลูกจ้าง
8. กำหนดให้กรณีรัฐวิสาหกิจใดมีข้อกำหนดให้สิทธิการรักษาพยาบาลแก่บิดา มารดาของลูกจ้าง ให้บิดามารดาของลูกจ้างดังกล่าว มีสิทธิตามประกาศนี้
เศรษฐกิจ สังคม
7.เรื่อง ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้น แบบ Credit Line ในวงเงินปีละ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2564 ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด กระทรวงการคลัง (กค.) ไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว เพื่อให้ กฟผ. สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า
1. วงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ที่ กฟผ. ได้รับความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 จะหมดอายุลงในวันที่ 11 กันยายน 2564 แต่ กฟผ. ยังมีความจำเป็นต้องใช้วงเงินกู้ดังกล่าว เพื่อรองรับการบริหารสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพ สำหรับการดำเนินงานของ กฟผ. เนื่องจาก
1.1 การดำเนินการของ กฟผ. จำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนที่สูงมาก โดยมีรายจ่ายประจำที่ต้องชำระ ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อกระแสไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายลงทุน และอื่น ๆ รวมทั้งรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ เช่น การขยายระยะเวลาชำระค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ซื้อกระแสไฟฟ้ารายใหญ่บางราย ทำให้ส่งผลกระทบต่อประมาณการกระแสเงินสด
1.2 กฟผ. อาจได้รับรายได้จากค่าไฟฟ้าหรือค่าขายไฟฟ้าคลาดเคลื่อนไปจากประมาณการกระแสเงินสดที่คาดการณ์ไว้
2. คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line เป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินปีละ 10,000 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด
8.เรื่อง การขอขยายระยะเวลาโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) จาก พ.ศ. 2551 – 2564 เป็น พ.ศ. 2551 – 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) (โครงการฯ) จาก พ.ศ. 2551 - 2564 เป็น พ.ศ. 2551 - 2570
2. อนุมัติให้ใช้กรอบวงเงินที่เหลือจากการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงิน 3,544.13 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพื่อการจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก และระดับปริญญาโท - เอก จำนวนรวมทั้งสิ้น 637 ทุน ดังนี้
2.1 ทุนในประเทศ จำนวน 175 ทุน (ระดับปริญญาเอก จำนวน 75 ทุน ระดับปริญญาโท - เอก จำนวน 100 ทุน) และทุนต่างประเทศ จำนวน 462 ทุน (ระดับปริญญาเอก จำนวน 197 ทุน ระดับปริญญาโท - เอก จำนวน 265 ทุน) คิดเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 3166.92 ล้านบาท
2.2 ทุนอบรม/ศึกษาเพิ่มเติม/วิจัยในต่างประเทศ จำนวน 93 ทุน และทุนสนับสนุนศักยภาพในการทำวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อต่อยอดการทำวิจัยเชิงลึก
ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในต่างประเทศ (Post -doctoral) จำนวน 230 ทุน ระยะเวลา 1 ปี ทั้ง 2 ทุน รวมเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 259.50 ล้านบาท
2.3 ค่าบริหารโครงการ จำนวน 117.71 ล้านบาท
โดยขอให้ อว. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) (โครงการฯ) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป. อว.) ดำเนินโครงการฯ ระยะเวลา 14 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 - 2564 ในวงเงินงบประมาณ 6,412.25 ล้านบาท เพื่อสร้างฐานกำลังคนที่มีคุณภาพในระดับปริญญาตรี – ปริญญาเอก ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยให้ทุนการศึกษาที่มีข้อผูกพันสัญญารับทุนที่ต้องชดใช้ทุนด้วยระยะเวลาการเข้ารับราชการ นั้น จะสิ้นสุดระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และยังมีวงเงินคงเหลืออีก จำนวน 3,544.13 ล้านบาท ซึ่งจากการดำเนินงานของโครงการฯ ที่ผ่านมา พบว่ามีนักเรียนทุนที่อยู่ในระบบ จำนวน 483 คน สำเร็จการศึกษาแล้ว จำนวน 273 คน อยู่ระหว่างศึกษา จำนวน 210 คน ประกอบกับ สป. อว. ได้สำรวจข้อมูลผู้เกษียณอายุของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2570 จะมีผู้เกษียณอายุในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งสิ้น จำนวน 4,659 คน ซึ่งหากไม่สามารถหาอาจารย์ที่มีคุณภาพมาทดแทนได้จะส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาจารย์ในสาขาดังกล่าว และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจัดการศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัย และการพัฒนาประเทศได้ คณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน) จึงเห็นควรขอขยายระยะเวลาโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. เห็นควรสนับสนุนการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการ ซึ่ง อว. ได้ปรับแก้โครงการฯ ตามข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. แล้ว ต่อมาในคราวประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ดังนั้น อว. จึงขอขยายระยะเวลาโครงการฯ จาก พ.ศ. 2551 - 2564 เป็น พ.ศ. 2551 – 2570 โดยใช้กรอบวงเงินเดิมในส่วนที่เหลืออยู่ จำนวน 3,544.13 ล้านบาท ในการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับระดับปริญญาเอก และระดับปริญญาโท - เอก รวมทั้งสิ้น 637 ทุน (จำนวนทุนที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินโครงการและพัฒนากำลังคนด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ให้มีคุณภาพและมีปริมาณเพียงพอรองรับการพัฒนาประเทศ รวมถึงสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไป โดย อว. ได้ปรับแนวทางในการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่ผ่านมา และรองรับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เช่น ปรับวัตถุประสงค์โครงการฯ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนอาจารย์ที่จะเกษียณอายุ กำหนดเป้าหมายในการจัดสรรทุนให้เหมาะสมตามกรอบวงเงินงบประมาณที่คงเหลืออยู่ ปรับปรุงสาขาวิชาภายใต้โครงการฯ ให้สามารถรองรับการพัฒนาประเทศได้ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการฯ ที่ อว. เสนอมาในครั้งนี้ ไม่มีความซ้ำซ้อนกับการจัดสรรทุนลักษณะเดียวกันของโครงการอื่นภายใต้ อว. และสำนักงาน ก.พ. เนื่องจากเป็นทุนสำหรับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อเป็นอาจารย์ในการสร้างบัณฑิตด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
9.เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษส่งผลกระทบต่อประชาชน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษส่งผลกระทบต่อประชาชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษว่า การพัฒนาโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 6 พื้นที่ ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนในพื้นที่โครงการ
2. กสม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมีขั้นตอนการดำเนินนโยบายในบางพื้นที่ขาดกระบวนการให้ข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเพียงพอ อันเป็นการกระทบต่อความเป็นอยู่และสิทธิของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การประเมินศักยภาพพื้นที่เพื่อใช้เป็นพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนอย่างเพียงพอ และการชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรมถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในบางพื้นที่ จึงได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการป้องกัน หรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับ (1) การป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน และ (2) การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งมอบหมายให้ กค. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้ กค.สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ได้มีการพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กษ. ทส. มท. อก. สปน. สงป. และ สศช. แล้ว ซึ่งมีผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะ |
ความเห็น/ผลการพิจารณา/ผลการดำเนินงาน |
1. การป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน 1.1 ให้กรมธนารักษ์พิจารณาคืนสภาพให้กับที่ดินของรัฐแปลงที่กรมธนารักษ์ไม่อาจนำที่ดินที่เพิกถอนสภาพตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( หน.คสช.) ที่ 17/58 ลว. 15 พ.ค. 58 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคำสั่งที่ 74/59 ลว. 20 ธ.ค. 59 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่ง หน.คสช. ที่ 17/58 ไปให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลา อันเหมาะสม หรือในกรณีที่ดินที่มีการเพิกถอนสภาพนั้นไม่มีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีกต่อไป เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้มีการสงวนเป็นที่ดินของรัฐไว้ เช่น การถอนสภาพที่ดินของรัฐในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย เป็นต้น
|
1. การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการจัดหาที่ดิน ตามคำสั่ง หน.คสช. ดังกล่าวจะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เพื่อพิจารณา สำหรับกรณีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร หากจะนำพื้นที่กลับมาเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน จะมีปัญหาอุปสรรคในข้อกฎหมาย และการประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินจะใช้ระยะเวลานาน 2. กนพ. ในการประชุมครั้งที่ 2/60 เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 60 มีมติมอบให้ กค. และ อก. พิจารณาปรับแนวทางและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุน และการบริการให้มากขึ้น ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้จังหวัดมุกดาหารและหนองคายจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น โดยเห็นควรเพิ่มเติมด้านสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนและเร่งรัดด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 3. กรมธนารักษ์จะดำเนินการเปิดประมูลเพื่อ สรรหาผู้ลงทุนพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารและหนองคาย เมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้
|
1.2 ให้กรมธนารักษ์ร่วมกับจังหวัดสงขลาพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ยังอาศัยอยู่ในที่ราชพัสดุแปลงพิพาทที่กำหนดเป็นพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาโดยอาจจัดหาที่ดินราชพัสดุบางส่วนให้เช่าหรือให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสิทธิในที่อยู่อาศัยที่ได้รับการรับรองโดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ต่อไป |
- กรมธนารักษ์ร่วมกับจังหวัดสงขลาได้ชี้แจงสร้างความเข้าใจ และเจรจากับราษฎรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ราชพัสดุ จำนวน 128 ราย ปัจจุบันคงเหลือราษฎรที่ไม่ยินยอมจำนวน 37 ราย โดยได้จัดสรรที่ราชพัสดุแปลง สข. 2516 เพื่อรองรับให้ราษฎรที่ยินยอมรื้อถอนเช่าเพื่ออยู่อาศัยรายละประมาณ 50 ตารางวา และจังหวัดสงขลาได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง วงเงิน 9,997,000 บาท โดยได้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยการขยายระบบไฟฟ้า ระบบประปา ถนนและคูระบายน้ำในที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดสรรเงินช่วยเหลือค่ารื้อถอนให้กับราษฎรที่ยินยอมรื้อถอนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรแล้ว จำนวน 91 ราย เป็นเงิน 2,996,720.22 บาท |
1.3 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง หน.คสช. ดังกล่าวในทุกพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบแก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้เกิดความเท่าเทียม สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนตามความเหมาะสมต่อไป |
1. คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ ในการประชุมครั้งที่ 2/58 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.58 เห็นชอบในหลักการจ่ายค่าชดเชย ค่าเยียวยาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้จังหวัดเป็นหน่วยงานสำรวจ รวบรวม และรายงานให้ มท. ตรวจสอบกลั่นกรอง และให้กรมธนารักษ์รับผิดชอบในการตั้งงบประมาณ ซึ่ง กนพ. ในการประชุมครั้งที่ 4/58 เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 58 มอบหมายให้ มท. แต่งตั้งคณะทำงานเพื่ออำนวยการหรือปฏิบัติการ หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ ครม. ได้มีมติ (10 พ.ย. 58) รับทราบและเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ มท. ได้มีหนังสือมอบหมายให้จังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ ชี้แจง ทำความเข้าใจกับราษฎร และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนสภาพที่ดินให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งสำรวจรวบรวมข้อมูล ขอบเขต ระยะเวลา รายละเอียดของราษฎร หน่วยงานที่ใช้ประโยชน์ ข้อมูลสิ่งปลูกสร้าง พืชผล ในที่ดินแต่ละแปลง และกำหนดค่าเยียวยา ชดเชย ค่ารื้อถอน ฯลฯ โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ วิธีการเช่นเดียวกับหน่วยงานราชการอื่น และรายงาน มท. ตรวจสอบกลั่นกรอง 2. รัฐได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือดูแลราษฎรที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และค่าพืชผล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน อีกทั้งคณะทำงานของจังหวัดได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงทำความเข้าใจ เจรจาสำรวจตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งกำหนดค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และค่าพืชผลโดยอ้างอิงตามหลักเกณฑ์ของส่วนราชการอื่น ทั้งนี้ ในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยากับ ผู้ได้รับผลกระทบตามความเหมาะสมในทุกพื้นที่แล้ว ดังนี้ ตาก - ได้จัดสรรที่ราชพัสดุบางส่วนให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเช่าเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการเกษตร - จ่ายเงินให้ความช่วยเหลือให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเป็นค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชอาสิน จำนวน 87 ราย เป็นเงิน 438,308,965 บาท มุกดาหาร - จ่ายค่าเยียวยาให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 5 ราย เป็นเงิน 880,000 บาท - จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้หน่วยงาน เป็นเงิน 154,793 บาท สงขลา - จัดสรรที่ราชพัสดุให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบที่ยินยอมรื้อถอนเช่าเพื่ออยู่อาศัย รายละประมาณ 50 ตารางวา - จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบที่ยินยอมรื้อถอน จำนวน 91 ราย เป็นเงิน 2,996,720.22 บาท สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน 37 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการของคณะทำงานจังหวัดสงขลา |
|
นครพนม - จ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดฟันต้นไม้ให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 12 ราย เป็นเงิน 101,980 บาท กาญจนบุรี - จ่ายเงินให้ความช่วยเหลือให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบเป็นค่าขนย้าย (ที่ดิน) ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชผล จำนวน 115 ราย เป็นเงิน 82,987,191.45 บาท ขณะนี้ดำเนินการจ่ายแล้ว จำนวน 66 ราย เป็นเงิน 47,358,312.09 บาท สำหรับส่วนที่คงเหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือดังกล่าว โดยมอบให้สำนักงานธนารักษ์ พื้นที่กาญจนบุรีเป็นผู้ดำเนินการ |
2. การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาทบทวนการกำหนดพื้นที่พัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ประเภทกิจการเป้าหมายและกิจการที่ได้รับการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการลงทุน หรือการพัฒนาโครงการหรือกิจกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยคุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับชุมชนเพื่อให้การดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ดิน รวมทั้งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และปฏิญญาว่าด้วยสิทธิในการพัฒนาที่มุ่งเน้นให้รัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน และเพื่อให้ประเทศไทยมุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติหลังปี 2558 ถึง 2573 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสังคมที่สงบสุขเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม โดยการสร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบครอบคลุม เสริมสร้างความแข็งแกร่งของการมีส่วนร่วมในทุกระดับการตัดสินใจ รวมทั้งการสร้างหลักประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในและความตกลงระหว่างประเทศ |
1. การจัดหาที่ดินของรัฐเพื่อมาเพิกถอนสภาพให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่พัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษและการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติการประชุมที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่ กนพ. แต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน อาทิ แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการด้านการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่ โดยมีตัวแทนราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ร่วมเป็นคณะทำงานฯ จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรที่ได้ผลกระทบ และประกาศรายชื่อราษฎรที่ผู้รับผลกระทบจากการจัดหาที่ดิน รวมถึง การให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามหลักสิทธิมนุษยชน 2. ตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งผ่านความเห็นชอบ กนพ. แล้ว ได้กำหนดให้ผู้พัฒนาเสนอแผนการพัฒนาพื้นที่ที่ขอลงทุนในการจัดทำผังพัฒนาพื้นที่โครงการ โดยจัดทำแนวคิดแผนแม่บทเบื้องต้นให้มีกิจกรรมที่สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง เน้นความเป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ สอดรับกับการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชนกับองค์กรหรือหน่วยงานท้องถิ่นโดยรอบให้เจริญเติบโตไปด้วยกันภายใต้กำกับดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดี และสอดคล้องกับแผนแม่บทในระดับจังหวัด อีกทั้งดำเนินการตามกรอบหลักการสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจของสหประชาชาติ ให้เป็นตามหลักการพื้นฐาน อาทิ การให้ความช่วยเหลือจ้างแรงงานผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่พัฒนา ตลอดจนจะต้องจัดทำพื้นที่สีเขียวคิดเป็นร้อยละ 30 ของพื้นที่โครงการ เพื่อให้ความสำคัญด้านระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน รวมทั้งจะต้องจัดทำพื้นที่ชุมชนและสันทนาการ คิดเป็นร้อยละ 10 ของพื้นที่โครงการ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับส่วนรวมใช้ประโยชน์ร่วมกัน |
10.เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2564
การส่งออกของไทยเดือนมกราคม 2564 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมปีก่อน โดยมีมูลค่า 19,706.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.35 แม้จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่การส่งออกของไทยในเดือนมกราคมขยายตัว และมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (18,319 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เริ่มเห็นผลชัดเจน และมีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง ส่งผลให้เกิดอุปสงค์และสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ ยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.57 ซึ่งสะท้อนการเติบโตจากภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector)
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นและแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ และโทรศัพท์และอุปกรณ์ 3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ และถุงมือยาง เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกอย่างมากในช่วงนี้ และ 4) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญเริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยในระยะถัดไป
ตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และตะวันออกกลาง ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ตลาด CLMV พลิกกลับมาเป็นบวกในรอบ 10 เดือน แสดงถึงการค้าชายแดนที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ตลาดอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญต่อการส่งออกของไทย เช่น สหภาพยุโรป เอเชียใต้ และอาเซียน (5) ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างมาก ทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกในตลาดดังกล่าวเป็นไปอย่างช้า ๆ
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 19,706.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.35 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการนำเข้า มีมูลค่า 19,908.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.24 ดุลการค้าขาดดุล 202.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนมกราคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 587,373.95 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.09 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 601,897.76 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 5.70 ดุลการค้าขาดดุล 14,523.81 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.7 (YoY) ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 345.1 (ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย กัมพูชา และลาว) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 50.5 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และมาเลเซีย) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 31.7 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง และมาเลเซีย) สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 38.5 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง เมียนมา และกัมพูชา) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 19.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และออสเตรเลีย) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 1.5 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ตุรกี อินเดีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 48.1 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ขยายตัวดีในเวียดนาม และลาว) ข้าว หดตัวร้อยละ 15.9 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวดีในแคเมอรูน แอฟริกาใต้ และจีน) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวร้อยละ 7.9 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน และเนเธอร์แลนด์ แต่ขยายตัวดีในเกาหลีใต้ และสิงคโปร์) อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 0.8 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีน แต่ขยายตัวดีในสหรัฐฯ อียิปต์ และแคนาดา)
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 0.9 ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ถุงมือยาง ขยายตัวร้อยละ 200.5 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และจีน) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 25.7 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เวียดนาม มาเลเซีย) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.4 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ลาว สิงคโปร์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 12.6 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 12.4 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 9.2 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) ยางรถยนต์ กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.2 (ขยายตัวในหลายตลาด เช่น ออสเตรเลีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย เวียดนาม เม็กซิโก อินโดนีเซีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ทองคำ หดตัวร้อยละ 90.3 (หดตัวในตลาดสิงคโปร์ อินเดีย และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวได้ดีในฮ่องกง และออสเตรเลีย) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 8.2 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน แต่ขยายตัวได้ดีในฮ่องกง และมาเลเซีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กลับมาหดตัวร้อยละ 5.2 (หดตัวในตลาดอินเดีย เวียดนาม และเมียนมา แต่ขยายตัวได้ดีในญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน และอินโดนีเซีย) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว กลับมาหดตัวร้อยละ 5.0 (หดตัวในตลาดฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวได้ดีในญี่ปุ่น เวียดนาม และฮ่องกง) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 4.5 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ จีน กัมพูชา และมาเลเซีย แต่ขยายตัวได้ดีในเวียดนาม ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย)
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญหลายตลาดขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า สอดคล้องกับภาคการผลิตและการบริโภคทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 5.7 ตามการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และญี่ปุ่นร้อยละ 12.4 และร้อยละ 7.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรป (15) หดตัวร้อยละ 5.4 2) ตลาดศักยภาพสูง ขยายตัวร้อยละ 1.4 จากการส่งออกไปจีน และกลุ่มประเทศ CLMV ที่ขยายตัวร้อยละ 9.9 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปอาเซียน (5) และเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 11.0 และร้อยละ 8.3 ตามลำดับ และ 3) ตลาดศักยภาพระดับรองขยายตัวร้อยละ 10.3 ตามการขยายตัวต่อเนื่องของส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) ร้อยละ 30.3 และตะวันออกกลาง (15) ร้อยละ 13.1 และการกลับมาขยายตัวของการส่งออกไปทวีปแอฟริกาที่ร้อยละ 6.3 ขณะที่การส่งออกไปลาตินอเมริกา และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 2.9 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ
2. แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2564
การส่งออกของไทยระยะต่อไปน่าจะปรับตัวในทิศทางดีขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความชัดเจน สะท้อนจาก (1) ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา (2) ความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เริ่มขยายตัว สะท้อนจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้ว และกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (3) การกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพในหลายภูมิภาค ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของคู่ค้าสูงขึ้น สำหรับแผนส่งเสริมการส่งออกปี 2564 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) มีนโยบายสำคัญ อาทิ การส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเร่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์ข้าวเพื่อให้ไทยเป็นผู้นำทั้งด้านคุณภาพและการตลาด สนับสนุนการส่งออกสินค้าฮาลาล เพื่อเจาะตลาดสินค้าอาหารประเทศมุสลิม ขณะเดียวกันเร่งแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าต่าง ๆ อาทิ ปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า เป็นต้น
11.เรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด – 19
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด – 19 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ
1. ให้ สธ. พิจารณาบรรจุบุคลากรกลุ่มพนักงานราชการ พนักงาน สธ. หรือลูกจ้างชั่วคราว ที่ยังตกค้างหรืออยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนในตำแหน่งว่างที่เหลือจากการบรรจุทั้ง 3 ระยะ ให้แล้วเสร็จก่อน โดยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม
2. หากมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการดำเนินการตามข้อ 1 คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ. สธ.) อาจพิจารณาบรรจุบุคลากร สธ. ที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด - 19 ได้ตามเหตุผลความจำเป็น โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ และการป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม และให้รายงาน คปร. เพื่อทราบ นับแต่วันที่ อ.ก.พ. สธ. มีมติและบรรจุบุคลากรแล้วเสร็จภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ให้ สธ. ชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากร สธ. ที่จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามข้อสังเกตของผู้แทนกรมบัญชีกลาง1 และเมื่อได้ดำเนินการบรรจุบุคลากรครบถ้วนตามที่ได้รับจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ จำนวน 38,105 อัตรา แล้ว ให้ สธ. รายงานผลการดำเนินการตลอดจนแจ้งการยุบเลิกตำแหน่งที่จ้างงานด้วยรูปแบบอื่นให้ คปร. ทราบเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (เดือนมีนาคม 2564) ด้วย
_______________________
1 ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้ให้ข้อสังเกตว่า ลูกจ้างประจำเป็นบุคลากรภาครัฐประเภทหนึ่งที่ได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ใกล้เคียงกับข้าราชการ การจะเปลี่ยนสถานะการจ้างลูกจ้างประจำมาเป็นข้าราชการจึงมีสิ่งที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น คือ ลักษณะงานและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งการเปลี่ยนสถานะดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการคำนวณบำเหน็จบำนาญซึ่งไม่สามารถนับระยะเวลาต่อเนื่องได้ ดังนั้น หาก สธ. จะพิจารณาเปลี่ยนสถานะการจ้างงานจากลูกจ้างประจำเป็นข้าราชการ จึงควรชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกจ้างประจำผู้ที่อยู่ในกรณีจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ทราบเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันกับการบรรจุบุคลากรใน 3 กลุ่มแรกที่ คปร. มีมติไว้แล้ว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือข้อร้องเรียนภายหลัง
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรหากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขอให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรก หรือขอโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. 2562 แล้วแต่กรณี โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีต่อ ๆ ไป ขอให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ การบรรจุบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. รายงานว่า
1. สธ. ได้ดำเนินการคัดเลือกและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 โดยสามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ สรุปได้ ดังนี้
ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2563
ระยะเวลาดำเนินการ |
ข้าราชการตั้งใหม่ (อัตรา) |
บรรจุแล้ว (อัตรา) |
คงเหลือตำแหน่งว่าง (อัตรา) |
ระยะที่ 1 (เดือนพฤษภาคม 2563) |
25,051 |
23,202 |
1,849 |
ระยะที่ 2 (เดือนสิงหาคม 2563) |
5,616 |
5,016 |
600 |
ระยะที่ 3 (เดือนพฤศจิกายน 2563) |
7,438 |
6,708 |
730 |
รวม |
38,105 |
34,926 |
3,179 |
หมายเหตุ : ข้อมูลอ้างอิงจากสำนักพัฒนาระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทน ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร.
จากข้อมูลข้างต้นพบว่า สธ. สามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้จำนวน 34,926 อัตรา แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ จึงทำให้ไม่สามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ได้ครบทั้ง 38,105 อัตรา ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไว้ เช่น (1) มีคุณสมบัติไม่ตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง 478 ราย (2) มีชื่อตำแหน่งที่ได้รับการจ้างงานอยู่เดิมไม่ตรงกับชื่อตำแหน่งในสายงานที่จะเข้ารับการคัดเลือกและบรรจุเข้ารับราชการ 575 ราย และ (3) มีการเปลี่ยนสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนประเภทการจ้าง ทำให้ไม่สามารถบรรจุในตำแหน่งที่ได้รับจัดสรร เนื่องจากคุณสมบัติของบุคลากรไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 18 ราย ดังนั้น สธ. จึงมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการบรรจุในระยะที่ 1 - 3 จำนวน 3,179 อัตรา และเป็นเหตุให้ สธ. มีคำขอให้กลุ่มลูกจ้างประจำสามารถเข้ารับการคัดเลือกและบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งว่างดังกล่าว
2. คปร. ในการประชุม ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาเรื่อง การบรรจุลูกจ้างประจำของ สธ. ในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด - 19 มีมติ ดังนี้
2.1 เห็นควรให้ สธ. พิจารณาบรรจุบุคลากรกลุ่มพนักงานราชการพนักงาน สธ. หรือลูกจ้างชั่วคราว ที่ยังตกค้างหรืออยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนในตำแหน่งว่างที่เหลือจากการบรรจุทั้ง 3 ระยะ ให้แล้วเสร็จก่อน โดยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม
2.2 หากมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการดำเนินการตามข้อ 2.1 อ.ก.พ. สธ. อาจพิจารณาบรรจุบุคลากร สธ. ที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด – 19 ได้ตามเหตุผลความจำเป็น โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ และการป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม และให้รายงาน คปร. เพื่อทราบ นับแต่วันที่ อ.ก.พ. สธ. มีมติและบรรจุบุคลากรแล้วเสร็จภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ให้ สธ. ชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากร สธ. ที่จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างถูกต้องตามข้อสังเกตของผู้แทนกรมบัญชีกลาง และเมื่อได้ดำเนินการบรรจุบุคลากรครบถ้วนตามที่ได้รับจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ จำนวน 38,105 อัตรา แล้วให้ สธ. รายงานผลการดำเนินการตลอดจนแจ้งการยุบเลิกตำแหน่งที่จ้างงานด้วยรูปแบบอื่นให้ คปร. ทราบเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (เดือนมีนาคม 2564) ด้วย
12.เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการ Organizational Quarantine (OQ) สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ของกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 438,075,800 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการ Organizational Quarantine (OQ) สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ตช. รายงานว่า
1. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ภาคการผลิตในด้านต่างๆ มีความต้องการแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก ส่งผลให้มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน ได้มีการประชุมและมีมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวสรุปได้ดังนี้
วันที่ |
รายละเอียด |
19 มกราคม 2564 |
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หารือร่วมกับสำนักงบประมาณ (สงป.) กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ ตช. (บช.ตชด.) เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณ สำหรับการจัดเตรียมสถานที่ทำโครงการ OQ ในพื้นที่ของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (กองร้อยฯ) เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยในระยะต่อไป เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้น |
20 มกราคม 2564 |
ให้ ตช. (บช.ตชด.) เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นที่กองร้อยฯ และใช้พื้นที่โรงนอนของกองร้อยฯ เป็น OQ และสามารถยกระดับเป็นโรงพยาบาลสนามได้ เมื่อ สธ. ร้องขอ โดยดำเนินการปรับปรุงใช้พื้นที่ว่างเปล่าในกองร้อยฯ จัดตั้งโรงพยาบาลสนามแบบเต็นท์ เพื่อใช้เป็นสถานที่กักกันตัวสำหรับบุคคลที่ลักลอบเข้าเมืองทุกประเภท ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ โดยเน้นย้ำที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา จังหวัดจันทบุรี จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดหนองคาย |
2. ตช. เห็นว่า ภารกิจในการจัดทำโครงการ OQ สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองในพื้นที่กองร้อยฯ เป็นภารกิจสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ ซึ่ง ตช. (บช.ตชด.) ได้จัดทำสถานที่เพื่อควบคุมแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว กัมพูชา และเมียนมา) และนำเข้าสู่มาตรการการคัดกรองและควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปสู่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ สาระสำคัญของโครงการ OQ สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง สรุปได้ ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์
2.1.1 เพื่อเป็นการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งคนไทยและคนต่างด้าวทั้งระบบ (ควบคุม/คัดกรอง/ป้องกัน) จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2.1.2 เพื่อเป็นการควบคุมดูแลและป้องกันคนไทยในประเทศจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากกรณีคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
2.1.3 เพื่อเป็นการปรับปรุงพื้นที่หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนทางกายภาพให้สามารถปรับเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้ในอนาคตและเป็นการสนับสนุนโรงพยาบาลที่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้อย่างเพียงพอ
2.2 แนวทางการปฏิบัติ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
องค์ประกอบด้านสถานที่กักกันโรค |
1. ปรับปรุงหน่วยระดับกองร้อยฯ ให้มีลักษณะเป็นที่พักให้เหมาะสมไม่แออัด(ไม่ควรเกิน 50 คน) เพื่อเตรียมความพร้อมในการควบคุมแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (บันทึกความเข้าใจฯ) ที่ประเทศไทยได้ทำกับลาว เมียนมา และกัมพูชา ทั้ง 3 ฉบับ 2. จัดหาเต็นท์สนามขนาด 250 เตียง เพื่อรองรับการควบคุมกักบริเวณแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยตามบันทึกความเข้าใจข้างต้น ซึ่งเต็นท์สนามมีลักษณะสำคัญ เช่น (1) เป็นอาคารโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปชนิดพิเศษ Prefabricated structure โดยผนังอาคารทั้งหมดกรุด้วยฉนวนกันความร้อนปิดทับด้วยเหล็กแผ่นเคลือบสีพิเศษชนิด Medical grade ที่ใช้ในห้อง clean room และโรงพยาบาล (2) ตัวอาคารมีขนาด 1,650 ตารางเมตร 1 ชั้น ประกอบด้วย ห้องน้ำและห้องพักกักกัน ซึ่งใช้ผนังฉนวนสำเร็จรูปสูง 1.50 เมตร เป็นตัวกั้นกันติดเชื้อระหว่างเตียงสู่เตียง และ (3) พื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและหลังคาเป็นทรงจั่วขนาดใหญ่ และมีระบบประปา สุขาภิบาล ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง พัดลมดูดอากาศ และช่องระบายอากาศ ตะแกรงมุ้งลวดกันแมลง ประตูฉุกเฉิน 2 บาน ซึ่งหากมีการหลบหนีจะมีสัญญาณเตือนทั้งเสียงและไฟเตือน มีกล้องวงจรปิด 16 จุด ทั้งภายในและภายนอกรวมกัน และมีระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินติดตั้งไว้ทุกเตียงหากผู้เข้ากักกันต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ 3. จัดทำแนวเขตแสดงอาณาบริเวณพื้นที่ควบคุม (รั้วลวดหนาม, ช่องทางเข้าออกทางเดียว) และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง (เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กล้อง CCTV และไฟฟ้าส่องสว่าง) เพื่อป้องกันการหลบหนีการควบคุม 4. พื้นที่บริการด้านการแพทย์และการบริหารจัดการในพื้นที่ควบคุม ได้แก่ เต็นท์บริการด้านการแพทย์ เต็นท์กองอำนวยการ/ศูนย์ประสาน เต็นท์เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เต็นท์ประกอบอาหาร เป็นต้น 5. พื้นที่ประกอบอาหารให้กับผู้เข้ารับการกักกันและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและการบริการน้ำดื่มที่เพียงพอต่อความต้องการ 6. ระบบสาธารณูปโภครองรับผู้เข้ารับการกักกันที่เพียงพอ ได้แก่ ระบบน้ำดื่มน้ำใช้ ห้องน้ำห้องส้วมและรถสุขาเคลื่อนที่ เครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต และการบริการอื่น ๆ 7. มีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม การบำบัดน้ำเสีย และการจัดการขยะติดเชื้อที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข |
องค์ประกอบของ เจ้าหน้าที่ประจำ สถานที่กักกัน |
1. ผู้บังคับกองร้อยฯ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ และปลัดอำเภอในพื้นที่และสาธารณสุขอำเภอ เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์ 2. เจ้าหน้าที่ติดตามและบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 3. เจ้าพนักงานโรคติดต่อและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประจำสถานที่กักกันตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดมอบหมาย 4. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย |
แผนการปฏิบัติและหน่วยรับผิดชอบการปฏิบัติงานในสถานที่กักกันโรค |
1. การรักษาความปลอดภัยสถานที่ กองร้อยฯ รับผิดชอบจัดกำลังเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบสถานที่กักกันโรค แยกเป็น (1) อาคารกองร้อยฯ จำนวน 3 จุด และช่องทางเข้าออก จำนวน 1 จุด รวมเป็น 4 จุด ใช้กำลังพลจำนวน 12 นาย/วัน (2) เต็นท์สนาม จำนวน 3 จุด และช่องทางเข้าออกจำนวน 1 จุด รวมจำนวน 4 จุด ใช้กำลังพล จำนวน 24 นาย/วัน 2. การปฏิบัติด้านการแพทย์และสาธารณสุข : สาธารณสุขอำเภอในพื้นที่รับผิดชอบจัดทีมติดตามและบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รับผิดชอบติดตาม ตรวจสอบ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และงานด้านการแพทย์ (หมุนเวียนสับเปลี่ยนวงรอบ 8 ชั่วโมง/ผลัด) 3. ชุดล่ามแปลภาษา : แรงงานจังหวัดรับผิดชอบจัดเจ้าหน้าที่ชุดล่ามแปลภาษาประจำสถานที่กักกันโรคตลอด 24 ชั่วโมง 4. การสนับสนุนการปฏิบัติด้านอื่น ๆ : อำเภอและหน่วยงานในพื้นที่จัดเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานประจำศูนย์ประสานงานกักกันโรคหมุนเวียนสับเปลี่ยนในวงรอบ 8 ชั่วโมง/ผลัด |
2.3 ระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 เดือน (เมษายน – กันยายน 2564)
2.4 งบประมาณรวมทั้งสิ้น 438,075,800 บาท (งบดำเนินงาน 223,587,200 บาท และงบลงทุน 214,488,600 บาท) สรุปได้ ดังนี้
รายการ |
วงเงิน (บาท) |
1. การปรับปรุงอาคารกองร้อยกำลัง จำนวน 14 แห่ง/กองร้อยฯ* |
52,863,000 |
2. การจัดหาเต็นท์สนาม ขนาด 250 เตียง จำนวน 14 แห่ง/กองร้อยฯ* |
385,212,800 |
รวมทั้งสิ้น |
438,075,800 |
หมายเหตุ * โครงการ OQ จะดำเนินการในพื้นที่ 14 แห่ง/กองร้อยฯ รองรับพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา จังหวัดจันทบุรี จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดหนองคาย |
3. สงป. แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ตช. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 438,075,800 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ OQ สำหรับแรงงานต่างด้าวและผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองในพื้นที่กองร้อยฯ สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายในการขอรับการจัดสรรในครั้งนี้ในส่วนที่เป็นการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวที่เป็นลักษณะงบดำเนินงาน ให้เป็นไปตามการพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายจากกระทรวงการคลัง (กค.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอให้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงและเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ขอให้ ตช. (บช.ตชด.) พิจารณาปรับใช้ประโยชน์จากการปรับปรุงอาคารและการจัดหาเต็นท์สนามดังกล่าว เพื่อรองรับภารกิจอื่น ๆ ของ บช.ตชด. หรือประโยชน์อื่นตามความเหมาะสมต่อไป
13.เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้จัดทำขึ้น [คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤษภาคม 2563) ให้ กนง. ประเมินภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของประเทศและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาส] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มหดตัวน้อยลงในปี 2563 โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 ภายหลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เนื่องจากเริ่มมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิผลและกระจายได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับนโยบายการคลังที่ออกมาอย่างต่อเนื่องและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าจะหดตัวร้อยละ 3.8 ในปี 2563 และกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.8 และ 3.1 ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ โดยภาครัฐทั่วโลกได้ดำเนินนโยบายการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของธนาคารกลางกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ขณะที่ธนาคารกลางในภูมิภาคบางแห่งมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม
2. เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของประเทศไทย (ไทย)
2.1 ปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวร้อยละ 6.6 น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ (ผลการประเมินในเดือนกันยายน 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 7.8) เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ในเกือบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวสูง และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มยืดเยื้อ
2.2 ปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 5.7 และ 5.0 ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ การใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเศรษฐกิจไทยปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 4.8 ตามข้อสมมติฐานที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวตามสัดส่วนการกระจายวัคซีนในไทยและต่างประเทศ และเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
2.3 ประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2563 เกินดุล 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตามการเกินดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 ขณะที่ในปี 2564 คาดว่าจะเกินดุลลดลงอยู่ที่ 11.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากรายรับภาคท่องเที่ยวที่ลดลงเป็นสำคัญ ส่วนในปี 2565 คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลสูงขึ้นที่ 29.1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้น
2.4 ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบที่ร้อยละ 0.9 ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม ส่วนในปี 2564 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มใกล้เคียงที่ประเมินไว้เดิมที่ร้อยละ 1.0 และประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.3 ทั้งในปี 2563 และ 2564 โดยในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 0.4 สอดคล้องกับอุปสงค์ที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2564 และจะใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการ
3. เศรษฐกิจไทยภายใต้การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ การระบาดในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 รุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ ดังนั้น ประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 และ 2565 จึงมีโอกาสที่จะต่ำกว่ากรณีฐาน ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นตามมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น ภาคบริการและภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการด้านการจัดซื้อวัคซีนของไทยมีความคืบหน้ามากกว่าที่ประเมินไว้ โดย กนง. จะติดตามสถานการณ์และประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
4. เสถียรภาพระบบการเงินไทย มีความเสี่ยงสูงตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเปราะบางจากหนี้ที่อยู่ในระดับสูงและความสามารถในการชำระหนี้ที่ด้อยลง ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น การสนับสนุนเงินทุนเพิ่มเติมแก่ธุรกิจที่มีศักยภาพและการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจและรูปแบบธุรกิจจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้
5. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี ทั้งนี้ กนง. เห็นว่าเศรษฐกิจยังต้องการแรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้รักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด
14.เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอสรุปผลการประชุม กตน. ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และให้ส่วนราชการรับประเด็นและมติของที่ประชุม กตน. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ในการประชุม กตน. ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ มีผลการประชุมฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ประเด็นเรื่อง |
ความเห็น/ข้อสังเกต/มติที่ประชุม กตน. |
1. ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ได้แก่ 1) การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 1 (25 กรกฎาคม 2562 - 25 กรกฎาคม 2563) 2) แนวทางการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้ส่วนราชการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานฯ เผยแพร่บนเว็บไซต์ของกระทรวง และ สลน. เผยแพร่บนเว็บไซต์รัฐบาลไทย (www.thaigov.go.th) เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมในการรับทราบข้อมูลผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้วย |
ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. 1) การนำเสนอผลการดำเนินงานนโยบายรัฐบาลควรมุ่งเน้นผลการดำเนินงานที่มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม หรือมีผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ที่สามารถรายงานเป็นเชิงตัวเลขได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสำคัญ เช่น ปัญหาหนี้นอกระบบการจัดระบบสวัสดิการแห่งรัฐ และการแก้ไขปัญหาด้านผลผลิตทางการเกษตร 2) กตน. จะเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลฯ บูรณาการการทำงานและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานของทุกส่วนราชการ 3) ควรเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญของรัฐบาลและส่วนราชการให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง 4) ควรปรับรูปแบบการนำเสนอสื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยให้มีการถ่ายทอดการสื่อสารในลักษณะการร้อยเรียงเป็นเรื่องเพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้สึกร่วม การแบ่งปันความรู้สึกและเป็นประเด็นที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยให้มีช่องทางการเผยแพร่ที่ประชาชนให้ความสนใจ เข้าถึงได้ง่ายและต่อเนื่อง มติที่ประชุม : รับทราบ |
2. รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ขยายตัวจากไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 1.3 โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนเริ่มกลับมาขยายตัว และการลงทุนภาครัฐขยายตัว ด้านการผลิต เริ่มกลับมาขยายตัว สาขาอุตสาหกรรมมีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยปี 2563 เศรษฐกิจไทยลดลงร้อยละ 6.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี 2562 ส่วนเศรษฐกิจโลกไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2563 ฟื้นตัวต่อเนื่องตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยในปี 2563 เศรษฐกิจโลกลดลงร้อยละ 3.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 2562 ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 ประมาณการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5-3.5 |
ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. 1) ขอให้ กตน. มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เสนอแนวคิดหรือประเด็นที่จะนำมาขับเคลื่อนภายใต้ กตน. เช่น ประเด็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก 2) เห็นควรให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยสำคัญที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านเศรษฐกิจทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การช่วยเหลือประชาชนหรือเกษตรกรที่เป็นฐานรากทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และให้รายงานสภาวะการณ์ทางสังคมให้ที่ประชุมทราบครั้งต่อไป 3) เห็นควรปรับรูปแบบการนำเสนอรายงานภาวะเศรษฐกิจฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายและในส่วนรายงานผลการดำเนินงานที่เป็นผลงานเด่นตามนโยบายรัฐบาล หน่วยงานที่รับผิดชอบควรคัดเลือกประเด็นเด่นที่น่าสนใจ โดยแยกออกจากงานตามยุทธศาสตร์และงานประจำ มติที่ประชุม : รับทราบ |
3. แผนการดำเนินงานของ กตน. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีการกำหนดภารกิจ/กิจกรรม ระยะเวลา และผู้รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น จัดการประชุม กตน. เป็นประจำทุกเดือน เพื่อติดตาม ขับเคลื่อน และเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลฯ จัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลฯ รอบปีที่ 2 นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน 2564 [หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และ สศช.] และสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมกับประชาชน [หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กรมประชาสัมพันธ์ และ สลน.] |
มติที่ประชุม : เห็นชอบแผนการดำเนินงานของ กตน. ฯ |
4. ประเด็นติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เช่น การดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลหลัก 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่องและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายที่เกินกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมหรือสื่อสังคมออนไลน์ |
มติที่ประชุม : เห็นชอบโดยให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี รับไปพิจารณาประเด็นติดตามฯ เพื่อนำเสนอ กตน. ต่อไป และให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานที่เป็นผลงานเด่นตามนโยบายรัฐบาล ไม่น้อยกว่า 2 เรื่อง ส่งให้ สลน. ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบ |
5. การมอบหมายหน่วยประสานงานหลักตามนโยบายรัฐบาล เพื่อทำหน้าที่ประสานงานรวบรวมและบูรณาการข้อมูลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และส่งข้อมูลให้ สลน. เพื่อนำเสนอ กตน. |
มติที่ประชุม : เห็นชอบ |
6. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กตน. รวม 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี 2) คณะอนุกรรมการบูรณาการและประสานการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี 3) คณะอนุกรรมการด้านการสร้างการรับรู้และสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน 4) คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจสอบสาระและรูปแบบการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบปีที่ 2 |
มติที่ประชุม : เห็นชอบ |
15.เรื่อง มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการฝ่ายพลเรือนในการนำมาตรการทางบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางวินัยมีมาตรฐานเดียวกัน และลดความลักลั่นในการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับการพิจารณาความผิดและกำหนดโทษ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ก.พ. ได้หยิบยกประเด็นที่สื่อมวลชนเสนอข่าวเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของข้าราชการในเรื่องชู้สาว การล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศ รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศดังกล่าว ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยและจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขึ้นอภิปราย โดยมีข้อสังเกตว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยรวดเร็ว ทั้งนี้ ก.พ. เห็นว่า มาตรฐานการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมของข้าราชการประเภทต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของการนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางวินัยตลอดจนมาตรฐานการลงโทษที่ลักลั่นกัน ซึ่งทำให้การดำเนินการขาดประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการดำเนินการทางวินัย ที่ว่า “ยุติธรรม เป็นธรรม รวดเร็ว” ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
1) ผู้บังคับบัญชา ไม่นำมาตรการทางการบริหาร เช่น การสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน การสั่งให้ประจำส่วนราชการ การสั่งสำรองราชการ หรือการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ หรือละเลยไม่ติดตามหรือละเลยไม่ดำเนินการทางวินัย มีการใช้ดุลยพินิจในเรื่องการพิจารณาความผิดและการกำหนดโทษไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
2) ผู้ปฏิบัติงาน บางส่วนราชการอาจขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ ในเรื่องการดำเนินการทางวินัย
3) ผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีที่เป็นข้าราชการระดับสูงอาจมีอิทธิพลต่อคณะกรรมการสอบสวน พยานบุคคล หรือผู้ให้ข้อมูลต่าง ๆ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการค้นหาความจริง
4) ข้อเท็จจริงของเรื่องที่ดำเนินการ บางเรื่องมีความยุ่งยาก ซับซ้อน เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องหลายระดับ ต่างกรม ต่างกระทรวง หรือมีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
5) โครงสร้างการบริหาร การบังคับบัญชา และมาตรการทางการบริหาร ระหว่างการดำเนินการทางวินัยที่แตกต่างกัน เช่น ข้าราชการตำรวจมีการสำรองราชการ การสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต่างจากข้าราชการพลเรือนสามัญและข้าราชการครู ที่มีเพียงการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นต้น
ก.พ. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 8 (1) ประกอบมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีมติ ดังนี้
1) ให้สำนักงาน ก.พ. เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ นำมาตรการทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรงของแต่ละองค์กรกลางบริหารงานบุคคล เช่น การสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน การสั่งให้ประจำส่วนราชการ การสั่งสำรองราชการ หรือการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมชู้สาวหรือล่วงละเมิดทางเพศ หรือคุกคามทางเพศ รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศดังกล่าว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของส่วนราชการ โดยกำชับผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัด การดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาละเลยไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย
2) ให้ ก.พ. จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือนประเภทต่าง ๆ ทำการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลเพื่อกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลาง ตามนัยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เช่น การนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรฐานการลงโทษ และการดำเนินการทางวินัยที่เกี่ยวเนื่องกับจริยธรรม
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการฝ่ายพลเรือนเป็นมาตรฐานเดียวกันและสัมฤทธิ์ผล
16.เรื่อง รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แนวทางการปรับปรุง และมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ มีสาระสำคัญดังนี้
1. หน่วยรับงบประมาณ ได้ส่งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ให้สำนักงบประมาณ รวมทั้งสิ้น 5,274,444.3 ล้านบาท
2. วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่กำหนดไว้จำนวน 3,285,962.5 ล้านบาท จำนวน 185,962.5 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 5.66 ประกอบด้วยโครงสร้างงบประมาณ ดังนี้
1) รายจ่ายประจำ จำนวน 2,360,543.0 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 177,109.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 6.98 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.15 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ 77.23 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
2) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 596.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 596.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไม่มีรายการที่ต้องเสนอตั้งงบประมาณ และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.02 ของวงเงินงบประมาณ
3) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย จำนวน 24,978.6 ล้านบาท เพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่ายที่ได้นำไปใช้จ่ายตามนัยมาตรา 45 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 24,978.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.81 ของวงเงินงบประมาณ
4) รายจ่ายลงทุน จำนวน 624,399.9 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 24,910.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 3.84 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.14 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ 19.76 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
5) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.01 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.22 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ 3.01 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุน กรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,518.2 ล้านบาท)
3. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำแนกตามยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณ
หน่วย : ล้านบาท
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ |
งบประมาณ |
|
จำนวน |
ร้อยละ |
|
รวมทั้งสิ้น |
3,100,000.0 |
100.0 |
1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง |
387,852.3 |
12.51 |
2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน |
338,547.6 |
10.92 |
3. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ |
548,185.7 |
17.68 |
4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม |
733,749.6 |
23.67 |
5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
119,600.3 |
3.86 |
6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ |
559,357.8 |
18.05 |
รายการค่าดำเนินการภาครัฐ |
412,706.7 |
13.31 |
4. แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
- ปรับปรุงรายละเอียดภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวง/หน่วยรับงบประมาณ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีฯ
- งบประมาณที่ได้รับจัดสรรสำหรับรายการต่อไปนี้ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการ ไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ
- เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุน จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่ม ในรายจ่ายประจำ และไม่ควรเปลี่ยนแปลงงบประมาณในแผนงานบูรณาการหรือแผนงานยุทธศาสตร์ไปเพิ่ม ในแผนงานพื้นฐาน
- การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพัน
ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณปรับปรุงรายละเอียดตามแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ 18 มีนาคม 2564 และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ต่อไป
5. มาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงิน ส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี
พิจารณาเพิ่มรายจ่ายลงทุนจากแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) และการลงทุนของหน่วยงาน ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (THAILAND FUTURE FUND) รวมทั้งพิจารณา การใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ต่างประเทศ
17.เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสหรัฐอเมริกาด้านความร่วมมือเพื่อป้องกัน ตอบโต้ และตอบสนอง ต่อการก่อการร้ายที่ใช้วัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสี
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสหรัฐอเมริกาด้านความร่วมมือเพื่อป้องกัน ตอบโต้ และตอบสนอง ต่อการก่อการร้ายที่ใช้วัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสี (บันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารแจ้งการตอบรับไปยังอาเซียน ตามที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความประสงค์ที่จะยกระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกากับอาเซียน โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
จุดมุ่งหมายหลักเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริกาในด้านความมั่นคงปลอดภัยเพื่อป้องกัน ตอบโต้ และตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่ใช้วัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสี
ขอบเขตความร่วมมือ - เสริมสร้างวัฒนธรรมความมั่นคงปลอดภัย ความตระหนักรู้ และความร่วมมือของประเทศสมาชิก ผ่านรูปแบบการฝึกอบรม การบริการ การแลกปลี่ยน ทางเทคนิค การประชุมเชิงปฏิบัติการ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกัน ตอบโต้ และตอบสนองต่อการก่อการร้ายทางรังสีและนิวเคลียร์ โดยจัดฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ ดังนี้
(1) ด้านการป้องกัน เช่น หน้าที่การกำกับดูแลความปลอดภัย ได้แก่ การอนุญาต การตรวจสอบ และการบังคับใช้กฎหมาย ข้อมูลภัยคุกคามที่สามารถออกแบบป้องกันได้ การฝึกอบรมและวิธีการตอบสนองต่อการก่อวินาศกรรมและลักทรัพย์ การจัดการวัสดุกัมมันตรังสีที่เลิกใช้งาน การพัฒนาแนวคิดการดำเนินการ ระบบตรวจวัดทางรังสี เป็นต้น
(2) ด้านการตอบสนอง เช่น การบริหารจัดการผลจากเหตุฉุกเฉินทางรังสี ระบบและมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ การค้นหาวัสดุนิวเคลียร์และวัสดุกัมมันตรังสีที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแล เป็นต้น
(3) การเชื่อมโยงกับหัวข้ออื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ วัฒนธรรมความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เป็นต้น
3. การดำเนินการ การแก้ไข และระยะเวลา- การดำเนินกิจกรรมตามบันทึกความเข้าใจฯ มีระยะเวลา 3 ปี หลังจากภาคีทั้ง 2 ฝ่าย ได้ลงนาม และจะถูกต่ออายุอัตโนมัติทุกปีหลังจากระยะเวลา 3 ปีแรก หากไม่มีการยกเลิก ทั้งนี้ สามารถปรับแก้ไขและยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ได้ เมื่อเห็นตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร และจะมีผลเมื่อมีการลงนามโดยทั้ง 2 ฝ่าย หากมีการประสงค์ขอยกเลิก ให้แจ้งอีกฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 90 วัน
18.เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินไทย – มัลดีฟส์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย – มัลดีฟส์ (บันทึกความเข้าใจฯ) และให้ความเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – มัลดีฟส์ ในครั้งนี้ เป็นการปรับปรุงข้อบทภายใต้ความ
ตกลงฯ เพื่อสนับสนุนให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ ส่งเสริมการเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศ โดยบันทึกความเข้าใจฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอมาในครั้งนี้ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
รายการ |
สาระสำคัญ |
คำจำกัดความ “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ” |
แก้ไขคำจำกัดความของคำว่า “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ” (aeronautical authorities) สำหรับฝ่ายไทยแก้จาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ฝ่ายมัลดีฟส์แก้จาก Department of Civil Aviation เป็น Maldives Civil Aviation Authority |
ข้อบทเรื่องความปลอดภัย |
เพิ่มข้อบทเรื่องความปลอดภัยไว้ในความตกลงฯ โดยกำหนดให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายในการตรวจสอบอากาศยานได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและรักษาระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้คงอยู่อย่างต่อเนื่อง |
สายการบินที่กำหนด |
ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีสิทธิกำหนดสายการบินได้หนึ่งสายหรือหลายสายการบินเพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงกัน |
พิกัดอัตราค่าขนส่ง |
สายการบินสามารถกำหนดพิกัดอัตราค่าขนส่งของตนได้เอง โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติพิกัดอัตราค่าขนส่งจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ |
ความจุความถี่ |
ไม่จำกัดจำนวนความถี่หรือแบบอากาศยานในการดำเนินบริการของสายการบินที่กำหนดตามความตกลงฯ ของคู่ภาคีทั้งสองฝ่าย |
สิทธิรับขนการจราจร |
- สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 3 และ 4 ได้อย่างเต็มที่ - สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 จากจุดระหว่างทาง 8 จุด และจุดพ้น 8 จุด โดยจะระบุและแจ้งโดยเจ้าหน้าที่การเดินอากาศได้เป็นจำนวนไม่เกิน 7 เที่ยวต่อสัปดาห์ |
ใบพิกัดเส้นทางบิน |
สายการบินที่กำหนดสามารถทำการบินตามเส้นทางบิน ดังต่อไปนี้ ไทย จุดต่าง ๆ ในไทย – จุดระหว่างทางใด ๆ – จุดต่าง ๆ ในมัลดีฟส์ – จุดพ้นใด ๆ มัลดีฟส์ จุดต่าง ๆ ในมัลดีฟส์ – จุดระหว่างทางใด ๆ – จุดต่าง ๆ ในไทย – จุดพ้นใด ๆ โดยอาจเว้นไม่แวะลง ณ จุดใด ๆ ตามจุดระหว่างทางและจุดพ้น |
การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน |
ให้สายการบินแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับสายการบินอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายการบินของประเทศเดียวกัน สายการบินของประเทศคู่ภาคี และสายการบินของประเทศที่สาม |
การจัดสรรเวลาเข้าออกท่าอากาศยาน |
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดสรรเวลาเข้าออกท่าอากาศยานนานาชาติสำหรับสายการบินที่กำหนด |
การฝึกอบรมและความร่วมมือทางการบิน |
รับทราบความจำเป็นสำหรับการฝึกอบรบการบินและความร่วมมือทางเทคนิคอื่น ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและความช่วยเหลือทางเทคนิคในด้านการดำเนินการเครื่องบินน้ำ (Seaplane) |
ประโยชน์ที่จะได้รับจากผลการเจรจาดังกล่าว การปรับปรุงข้อบทภายใต้ความตกลงฯ และสิทธิการบินต่าง ๆ ข้างต้น จะมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ปฏิบัติการการบินของสายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายมีความคล่องตัวและเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่นานาประเทศยอมรับ นอกจากนี้ การกำหนดสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 เพิ่มเติมยังเป็นการเปิดโอกาสให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายสามารถเลือกวางแผนการให้บริการและขยายบริการเพื่อช่วยส่งเสริมการทำการตลาดของสายการบินได้ในอนาคต โดยปัจจุบันมีสายการบินของไทยจำนวน 2 สายการบิน ได้แก่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ที่ทำการบินตรงไปยังมัลดีฟส์ และสายการบินของมัลดีฟส์จำนวน 1 สายการบิน ได้แก่ สายการบิน Maldivian ทำการบินมายังประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไปยังมัลดีฟส์อีกด้วย
แต่งตั้ง
19.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายฐนัตถ์ สุวรรณานนท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
2. นายรุ่งศักดิ์ ปิยะรัตน์ ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20.เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางอัจฉรา เจริญสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เป็นวาระที่สอง (ตามมติคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564) ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
21.เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน 12 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ
1.1 นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์
1.2 นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
1.3 นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์
1.4 นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว สาขาวิศวกรรมศาสตร์
1.5 นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์
1.6 นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์
2. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
2.1 นายชำนาญ ภัตรพานิช สาขาเภสัชศาสตร์
2.2 นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์
2.3 นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์
2.4 นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม
2.5 นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์
2.6 นายเกรียงศักดิ์ ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
22.เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแต่งตั้ง นายวีริศ อัมระปาล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกเดือนละ 290,000 บาท ค่าตอบแทนคงที่จะปรับขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ 10 ตามผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และค่าตอบแทนพิเศษประจำปีจ่ายตามระยะเวลาเดียวกับการปรับค่าตอบแทนคงที่ตามผลการประกอบการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ 30 ของค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามร่างสัญญาจ้างผู้บริหารในตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
23.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เสนอแต่งตั้ง นายปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (ด้านกฎหมายเทคโนโลยีดิจิทัล) แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
24.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายอมร มีมะโน
2. นายภูวิช ปัญญาสิทธิ์
3. นายสมชาย สาโรวาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
25.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้ง พลตรี นพรัตน์ แป้นแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง
26.เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 65/2564 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 65/2564 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 238/2563 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยให้ยกเลิกความในข้อ 1.2 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 238/2563 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“1.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.2.1 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
1.2.2 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2564 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี