‘นายกฯ’กระชับความร่วมมือ‘ไทย-อิสราเอล’ส่งเสริมสิทธิสวัสดิการแรงงานไทย
วันพฤหัสบดี ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 12.01 น.
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเมอีร์ ชโลโม (H.E. Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย- อิสราเอล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างดียิ่ง ยินดีที่ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ก้าวหน้ามาตามลำดับ และเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศยังมีสาขาความร่วมมือที่มีศักยภาพอีกมาก จึงขอให้สานต่อความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านการค้า แรงงาน ตลอดจนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งไทยพร้อมจะร่วมมือกับอิสราเอลเพื่อผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป และโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19
นายกฯ ยังได้ชื่นชมศักยภาพของอิสราเอลที่สามารถจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับนโยบายของไทยที่ให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่นเดียวกัน
ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอดระยะเวลาของการทำงานและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตใน ประเทศไทย เป็นประเทศแรก พร้อมยืนยันว่าจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยศักยภาพทางสาธารณสุข พร้อมชื่นชมที่นายกรัฐมนตรีสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนว่าจะสามารถเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน ถือเป็นโอกาสในการฟื้นฟูความร่วมมือในอนาคตภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ด้านแรงงาน อิสราเอลมีแนวทางที่จะส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการของแรงงานไทยและประโยชน์ของนายจ้าง โดยเฉพาะแรงงานไทยในภาคการเกษตร ซึ่งทางเอกอัครราชทูตฯ มีส่วนสำคัญในการผลักดันความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลระหว่างไทยกับอิสราเอลฉบับใหม่ ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การส่งเสริมการค้าการลงทุนเป็นหนึ่งในวาระที่สำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 ซึ่งไทยพร้อมที่จะเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างกัน
พร้อมกันนี้ อิสราเอลยินดีที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเกษตร การแปรรูปผลิตทางการเกษตร และการบริหารจัดการน้ำ รวมไปถึงนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยพร้อมที่จะพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมให้สอดรับกับยุค New normal ด้านวิชาการ ทั้งสองประเทศยินดีจะสานต่อความร่วมมือผ่านองค์กรความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศของอิสราเอล (MASHAV) ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การบริจาคโรงเรือนสำหรับปลูกพืชพร้อมระบบน้ำ (Hydroponic Greenhouses) ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเกาะสมุย เป็นต้น
นอกจากนี้เอกอัคราชทูตฯ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวว่า ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยจำนวนมากทั้งก่อนและหลังการเกิดสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งให้ความสนใจต่อโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) เป็นอย่างมาก
อย่างวไรก็ตามนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถเดินทางมายัง จ.ภูเก็ตได้ตามข้อกำหนด ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องที่มีแผนจะขยายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า เป็นต้น