อดีตรมต.พลังงาน โพสต์สอนรัฐ แก้วิกฤตน้ำมันแพง แนะหยุดอ้างอิงราคาโรงกลั่นสิงคโปร์ชั่วคราว แล้วอ้างจากต้นทุนจริง พร้อมลดค่าการตลาด และภาษีนำเข้าให้ต่ำลง พร้อมแนะหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ ลดการพึ่งพิงเชื้อเพลิง ชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นหลัก
19 มีนาคม 2565 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและแกนนำพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชวนขบคิด ในช่วงราคาพลังงาน (น้ำมัน ก๊าซ) ขาขึ้นที่ถูกผลกระทบจากสงครามหรือจะเป็นช่วงที่ความต้องการปริมาณพลังงานมากๆ เราจะหาวิธีช่วยผ่อนคลายปัญหากันได้อย่างไร โดยระบุว่า 1.ปริมาณการผลิตน้ำมันและ Condensate ในประเทศไทยนั้นคิดเป็นสัดส่วนไม่สูงนักหรือเฉลี่ยราว 18% เท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคน้ำมันภายในประเทศ นั่นหมายความว่า น้ำมันอีกประมาณ 80% ที่เราใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ คือ ‘น้ำมันนำเข้า’ ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศในรูปน้ำมันดิบแล้วนำมากลั่นในประเทศไทย
2. โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทย (ตามที่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงานเผยแพร่)
2.1 ต้นทุนเนื้อน้ำมัน ประมาณ 40-60%
2.2 ภาษีต่างๆ ประมาณ 30-40%
2.3 กองทุนต่างๆ ประมาณ 5-20%
2.4 ค่าการตลาด ประมาณ 10-18%
ถ้าอย่างนั้น ในช่วงวิกฤตแบบสงคราม เราหยุดชั่วคราวในการอ้างอิงราคาโรงกลั่นจากสิงคโปร์ บวกค่าขนส่ง ค่าต้นทุนอื่นๆ มาเป็น การคิดอิงต้นทุนจริง คือ จากราคาน้ำมันดิบที่ซื้อ บวก ค่ากลั่น (โรงกลั่นของเราเองในประเทศ) ในระดับที่ต่ำที่สุดในช่วงสัก 3 เดือน แล้วก็ลดภาษีนำเข้าให้ต่ำลง ยอมสูญเสียรายได้ชั่วคราวจากส่วนภาษีนี้ และลดค่าการตลาดลงบ้าง แบบนี้ เราก็น่าจะตรึงราคาและป้องกันการพุ่งของราคาสินค้าหรือค่าครองชีพอื่นๆ ของคนไทยได้
หรือ เรามาคิดว่าใน 18% ที่ประเทศไทยผลิตได้เอง เราสามารถคิดในสัดส่วนดังกล่าวนี้ว่าไม่ต้องอิงราคาตลาดโลก ได้หรือไม่ อย่างน้อยเชื่อว่า จะทำให้ราคาเฉลี่ยควรจะลดลงบ้าง ในช่วงภาวะไม่ปกติ และอาจจะทำให้ภาพในมุมอื่นๆ ที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับโครงสร้างต้นทุนนำ้มันได้
หรือ อย่างเรื่องก๊าซ เราต้องทราบแล้วว่าตลาด LNG เป็นตลาดตึงตัว คือ ความต้องการซื้อ (Demand) พอๆ กับ ของที่จะขาย (Supply) ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ Supply มีมาก และจะตึงตัวไปอีก 2-3 ปี เพราะฉะนั้น ราคาก็พร้อมจะผันผวน ช็อคตามสถานการณ์ต่างๆ ได้ง่าย อีกทั้งการขนส่ง LNG มีปัญหาเรื่องเรือไม่เพียงพอและค่าขนส่งที่สูง
มีข้อมูลว่าสัดส่วนโครงสร้างกิจการการผลิตไฟฟ้าของประเทศปัจจุบัน ประมาณ 55-60% จะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง นั่นหมายความว่าเรามีความเสี่ยงต่อราคาค่าไฟ หากเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนเรื่องก๊าซ อีกทั้งปริมาณก๊าซในอ่าวไทยเราเหลือน้อยลง และนำขึ้นมาใช้ได้ต่ำกว่าเป้าหมาย อันเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานที่ดำเนินการไม่ดีพอ สำหรับไฟฟ้าที่เหลือคือโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในต่างประเทศ การใช้ถ่านหินที่มีในทั้งประเทศและต่างประเทศ เชื้อเพลิงชีวภาพ ชีวมวล หรืออื่นๆ คงต้องเร่งรัดและบริหารให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เราต้องมาคิดเรื่องเหล่านี้ ที่มองได้ว่าเป็นความเปราะบางทางความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ การพึ่งพิงเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นหลัก เมื่อเกิดความไม่สมดุลของเชื้อเพลิงนั้น ย่อมเกิดความผันผวนทางด้าน Supply และราคา และด้วยเทคโนโลยีหลายๆอย่างในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุน Renewable Energy (พลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ) ก็ยังสามารถเป็นทางออกในการบริหารความเสี่ยงด้านพลังงานที่พึ่งพาแก๊สในปัจจุบันได้หากต้องบริหารจัดการเชิงรุก และเป็นไปตามกระแสสิ่งแวดล้อมของโลกครับ
นี่ก็เป็นแนวทางของผม ที่ชวนทุกคนคิดครับ
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี