วงเสวนา‘กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา’ ตรวจสอบฉ้อราษฎร์บังหลวง หนุนเลือกคนดี คำนึงประโยชน์ประชาชนเข้าไปทำงาน ‘วิชา มหาคุณ’ ยกย่อง ‘ชูวิทย์’ แบ็คดีกล้าเปิดโปง ‘ทุนจีนสีเทา’ ทั้งที่ ‘คนมีอำนาจ’ กลับเฉย ด้าน ‘เจษฎ์’ แนะใช้มาตรการทางรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมู่เหนือกฎหมาย เริ่มจากหย่อนบัตรอย่างฉลาด-เหมาะสม สร้างจุดเริ่มต้นตรวจสอบพรรคนักการเมือง
29 มีนาคม 2566 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ(กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต วุฒิสภา จัดเวทีเสวนา ในหัวข้อ “สิทธิประชาชน ตรวจสอบฉ้อราษฎร์ บังหลวง”
พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กล่าวตอนหนึ่งในช่วงบรรยาย เรื่อง สถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทย ว่า นักการเมืองไทยที่มีอำนาจมักอ้างความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อนำโครงการไปลงพื้นที่ของตนเอง โดย400 เขตเลือกตั้ง พบว่านำโครงการไปลงพื้นที่ของตัวเอง ทำให้เกิดคำถามว่าพื้นที่อื่นไม่มีความเดือดร้อนแบบเดียวหรือ ซึ่งกรณีดังกล่าวตนมองว่าเป็นการใช้อำนาจมิชอบและใช้อำนาจนำโครงการไปลงพื้นที่ของตนเอง ทั้งนี้การทำงานของส.ส.ต้องแยกระหว่างหน้าที่การตรากฎหมายและการดูแลประชาชน เพราะการดูแลประชาชนเป็นเรื่องของท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทยที่จะสนับสนุนเท่าเทียมเป็นธรรมด้วยกติกา ดังนั้นต้องปรับความคิดทางการเมืองใหม่
พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวด้วยว่า มีข้อเสนอแนะองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ปี2566 ต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น คือ ต้องให้ความสำคัญต่อการถ่วงดุลอำนาจ ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ รวมถึงองค์กรอิสระ รวมถึงให้โอกาสประชาชนเข้าถึงข้อมูลภาครัฐผ่านระบบสารสนเทศ ทั้งนี้ที่ผ่านมากรรมการปฏิรูปได้ผลักดันกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสาร และกฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ แต่พบว่าถูกยื้อไปจนกรรมการปฏิรูปหมดวาระ ทั้งนี้การแก้ปัญหาทุจริตที่สำคัญ คือ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ยึดระบบคุณธรรม การเลือกตั้ง ส.ส. ต้องเลือกเพื่อให้คนดีมาปกครอง ขณะเดียวกันต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและให้ความเห็น
พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวเรียกร้องต่อพรรคการเมืองในช่วงเลือกตั้ง ว่า ต้องสัญญากับประชาชนว่าจะผลักดันร่างกฎหมาย 4 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม, กฎหมายติดตามทรัพย์สินคืน กรณีสินบนข้ามชาติ, กฎหมายข้อมูลข่าวสาร และกฎหมายตรวจสอบเส้นทางการเงินของนักการเมืองและพรรคการเมือง รวมถึงเปิดเผยถึงที่มาของเงิน ว่าเป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่ เพราะไม่ไว้วางใจว่าเป็นเงินสีเทาที่ว่อนในประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากหน่วยงานที่ควบคุมการเงินไม่เข้มแข็งพอ
“พรรคการเมืองต้องส่งคนที่ไม่มีมลทิน มีประเด็นคอร์รัปชั่นให้ประชาชนเลือก หัวหน้าพรรคต้องรับผิดชอบ รวมถึงคนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูล ก็ไม่ควรส่งเพราะจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคต นอกจากนั้นพรรคการเมืองควรมีนโยบายสำคัญ คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ ขณะที่เงินที่ใช้หาเสียง กกต.ต้องดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก เช่นเดียวกับการจ่ายภาษี และความโปร่งใสการจ่ายภาษีหากพรรคไหนไม่มีนโยบายต้านคอร์รัปชั่น อย่าเลือก และอย่าเลือกคนมีมลทินให้เข้ามาเป็นมะเร็งร้ายของการเมืองไทย” พล.อ.อ.วีรวิท กล่าว
ต่อจากนั้นเป็นการเสวนา หัวข้อ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยนายวิชา มหาคุณ คณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนยกย่อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เปิดประเด็นทุนจีนสีเทาและประเด็นของนายตู้ห่าว เพราะคนที่มีอำนาจไม่ดำเนินการใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เงินเป็นใหญ่ในประเทศไทย อย่างที่นายตู้ห่าว เคยกล่าวว่า มีเงินมาก จะทำอะไรใครก็ได้ ทั้งนี้ช่วงเลือกตั้งที่จะมาถึงทำให้เกิดคำถามว่าจะเลือกคนแบบใดมาปกครอง หากจะเลือกคนดีต้องเลือกคนแบบใด โดยคนดีของตนหมายถึง คือ คนที่ไม่ใช่อำนาจรัฐเพื่อตนเอง และพวกพ้อง
นายวิชา กล่าวถึงการทำงานของนายชูวิทย์ ว่า แม้จะกระดำกระด่าง หากทำคนเดียวเชื่อว่าตายเปล่า แต่เบื้องหลังของนายชูวิทย์มีกลุ่มคนขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ดีในการตรวจสอบของภาคประชาชนเปิดเผยข้อมูลของนักการเมือง พบว่าถูกฟ้องร้อง ดังนั้นตนมองว่าต้องมีมาตรการคุ้มครองภาคประชาชนที่ตรวจสอบคนทุจริต คอร์รัปชั่น ไม่ให้ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เหมือนประเทศเกาหลีใต้
“เราได้คนไม่ดี เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ จะทำให้ความยุติธรรมไม่ปรากฏ และคนถูกตรวจสอบถูกรังแก ผมไม่อยากให้เกิดความล้มเหลวในความยุติธรรม แต่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการยุติ ธรรมมานาน ทั้งนี้ต้องดำรงความยุติธรรม โดยให้ถือว่าเป็นเจตจำนงของปะชาชน ฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย” นายวิชา กล่าว
ด้านนายเจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ กล่าวว่า กรณีที่ได้นักการเมืองโกง หรือคนไม่ดี ต้องย้อนไปถึงต้นตอ ว่าเกิดจากประชาชน ในฐานะคนเลือกนักการเมือง ทั้งนี้การเป็นตัวแทนไม่ใช่ตัวแทนของรัฐ แต่คือเลือกตัวแทนของประชาชน คนที่เป็นผู้แทนต้องคิดถึงประชาชน ประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่คิดถึงแต่อำนาจของตนเอง ทั้งนี้การตรวจสอบนักการเมือง ต้องเริ่มจากเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือ โหวตเตอร์ ที่ต้องเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสม และเป็นคนดี แต่เมื่อเลือกแล้ว หากที่ผ่านมาไม่ทำงาน อย่าเลือกคนเดิมซ้ำ
ทั้งนี้หากไม่มีคนให้เลือกแล้ว การตรวจสอบของประชาชนในกรณีนี้ สามารถทำได้ผ่านการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง ด้วยการกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกใคร หากประชาชนทั้ง 400 เขตใช้การลงคะแนนแบบดังกล่าว และชนะผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ จะสามารถขจัดนักการเมืองอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทยได้
“หากประชาชนกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนเพื่อให้ได้คะแนนโหวตโนที่ท่วมท้น ตัวใหญ่ๆของแต่ละพรรค จะถูกกวาดออกไป และพรรคการเมืองจะไปไม่ถูก เพราะไม่ใช่เรื่องยุบพรรค เนื่องจากต้องหาคนลงสมัครใหม่ แต่ที่ผ่านมาเงินพรรคเงินผู้สมัครใช้จ่ายเกือบหมด เมื่อถึงตอนนั้นนักการเมืองจะกราบประชาชนอย่างแท้จริง ผมมองว่าหากประชาชนใช้มาตรการของรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมู่เหนือกฎหมาย คือการใช้อำนาจตรวจสอบของประชาชนที่เข้มแข็ง ดังนั้นการหย่อนบัตรที่ชาญฉลาดและเหมาะสม คือ จุดเริ่มต้นของการตรวจสอบนักการเมือง” นายเจษฎ์ กล่าว
ขณะที่ พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวด้วยว่าหากประชาชนเห็นว่าไม่มีผู้สมัครส.ส.ที่เป็นคนดี สามารถกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนได้ รวมถึงลงคะแนนในบัตรของพรรคการเมืองได้เช่นกัน ส่วนการลงคะแนนดังกล่าวไม่ต้องห่วงว่าหัวคะแนนจะทราบ นอกจากประชาชนจะตรวจสอบนักการเมืองผ่านการลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว คือ การร้องคัดค้านการเลือกตั้ง สำหรับสถิติของการเลือกตั้งปี2562 พบว่ามีการร้องเรียนต่อ กกต. 592 สามารถทำเป็นสำนวนได้ 286 เรื่อง และยอมรับว่านำไปสู่การลงโทษได้เพียง 1-2 เรื่องเท่านั้น โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น คือ ร้องเรื่องการซื้อเสียง รวม 191 เรื่อง ส่งศาล 3 เรื่อง ส่วนที่เหลือนั้นยุติเรื่อง , ร้องเรื่องการใส่ร้าย ใช้อิทธิพล 64 เรื่อง สามารถส่งศาลได้ 5 เรื่อง เป็นต้น
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี