ขยี้ปมแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาท
รุมถล่มเพื่อไทย
พปชร.ซัดหว่านแห-สภาคว่ำแน่
ปชป.อัดเอื้อเอกชน/ไม่กระตุ้นศก.
กกต.จี้เร่งชี้แจง-ขู่ปรับ5แสนบาท
‘ศรีสุวรรณ’ยื่นร้องให้ตรวจสอบ
‘จุรินทร์’ขอบคุณเกษตรกรหนุน
‘สุดารัตน์’ยกระดับ‘30บาทพลัส’
กกต.สั่งพท.แจงที่มา-วงเงินเติมกระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อให้ครบเงื่อนไขกฎหมาย มี 6 พรรคแจ้งนโยบายใช้เงินหลวงหาเสียง “ศรีสุวรรณ”จี้กกต.สอบ“เศรษฐา-เพื่อไทย”เข้าข่ายประชานิยมสุดขั้ว“ไพบูลย์”ซัดไม่มีก.ม.รองรับเข้าสภาเจอสว.คว่ำแน่“ปชป.”ตั้ง 5 คำถาม เอื้อธุรกิจครอบครัวหรือไม่กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ตรงจุด ไม่เกิดประโยชน์ต่อปชช.-ประเทศชาติ ยันอัด 1 ล้านล้าน ไม่ใช่แจกเงิน ปลดล็อก กบข.-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวม 3 แสนล้าน มาใช้ให้เกิดสภาพคล่อง ไม่ต้องพึ่งเงินหลวงหรือกู้ พร้อมทำศก.โตอย่างน้อย5%
เมื่อวันที่ 10 เมษายน2566 นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีให้พรรคเพื่อไทย (พท.) ชี้แจงที่มาของเงินและวงเงินที่ต้องใช้ ในนโยบายหาเสียงแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลให้คนไทยอายุ 16ปีขึ้นไป คนละ10,000บาท ว่า ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่านโยบายที่จะต้องมีการใช้จ่ายเงิน จะต้องมี 3เงื่อนไข คือ 1.วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนพิจารณาตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคนั้นหรือไม่ ขณะนี้มี 6 พรรค ที่มีการแจ้งว่ามีนโยบายที่เกี่ยวการเรื่องการใช้จ่ายเงินมายัง กกต.โดยจะให้สำนักงานแจ้งไปยังทุกพรรคที่รายงานมา ว่าจะต้องมีการชี้แจง 3เงื่อนไขดังกล่าวมาให้ครบถ้วน ซึ่งนโยบายแบบนี้จะถือว่าไม่ใช่การสัญญาว่าจะให้ แต่ถ้าไม่มีข้อมูล 3เงื่อนไขดังกล่าวอาจจะผิดเข้าข่ายหลอกลวงตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา73(5) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้บอกว่าถ้ารายงานไม่ครบแล้วจะมีความผิดเพียงแต่กำหนดว่าให้ กกต.แจ้งให้ดำเนินการให้ครบถ้วน และมีโทษเป็นการปรับจนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน
กกต.ย้ำพท.ยังไม่แจ้งข้อมูลแจก1หมื่น
พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการ กกต.รับผิดชอบงานด้านพรรคการเมือง กล่าวว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้รับแจ้งจากพรรค พท.ถึงที่มาของเงินและวงเงินที่ต้องใช้ในนโยบายหาเสียงแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่ กกต.มีหนังสือให้แจ้งกลับมาโดยเร็ว แต่คิดว่า อีกไม่นานพรรคคงจะมีการแจ้งมา ตามขั้นตอนถ้า กกต.มีหนังสือไปแล้วยังไม่แจ้งกลับมา ก็จะเสนอ กกต.ออกคำสั่ง ถ้าหากยังไม่ดำเนินการอีกก็จะมีโทษทางอาญา โดยเป็นโทษปรับ 500,000บาท นับแต่วันที่ กกต.กำหนดให้แจ้งและปรับอีกวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้อง ยืนยันว่า กกต.ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามกรอบ
‘ไพบูลย์’ซัดไม่มีกม.รองรับเข้าสภาสว.คว่ำ
ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ว่า คิดว่ามีปัญหาร้ายแรงมาก จะทำให้เกิดปัญหาในวันข้างหน้า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วย เพราะการเสนอในลักษณะดังกล่าวเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงต้องมีกฎหมายรองรับ แต่ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายรองรับ เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับจะต้องนำเสนอกฎหมายเข้าสู่สภา ซึ่งการแจกเงินในลักษณะหว่านแหไปทั่วหมด ขนาดมหาเศรษฐี คนร่ำรวย คนมีงานมีการทำ มีเงินหลายแสนก็ได้เงินเหมือนกันหมด เป็นแนวทางที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในนโยบายของพรรคการเมือง ทั้งนี้ กระบวนการที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นได้จะต้องเสนอกฎหมายในสภา เชื่อว่าจะได้รับการต่อต้านในสภาอย่างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเชื่อว่าวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ซึ่งหากวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกฎหมายนี้จะถูกยับยั้ง หรือหากผ่านไปเรื่องก็จะถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็คิดว่าศาลจะพิจารณาว่าไม่สามารถดำเนินการได้
อย่าหาเสียงแบบไปตายเอาดาบหน้า
นายไพบูลย์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องทำความชัดเจนให้กับประชาชนก่อน การหาเสียงในลักษณะที่ไปตายเอาดาบหน้าตนไม่เห็นด้วย จะเป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ในส่วนของพรรค พปชร.เราเสนอเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีกฎหมายรองรับไว้ชัดเจน เป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทุกคนในสังคมมีความประสงค์ที่อยากจะยกระดับให้บุคคลเหล่านั้นมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากความยากจน ดังนั้น นโยบายของพรรค พปชร.คือช่วยเหลือให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน ก้าวข้ามความยากจนให้ได้ เป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมายที่รองรับทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างกัน
กร้าวพปชร.ไม่ร่วม’เพื่อไทย-ก้าวไกล’
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงจุดยืนทางการเมืองของ พปชร.ว่า พปชร.มีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งที่จะเดินหน้ากำจัดปัญหาความขัดแย้งที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ขจัดความยากจนให้สิ้นไป โดยจะมีนโยบายนำเสนอมาอีกในเร็วๆ นี้ ส่วนจุดยืนของ พปชร.เรามีความเชื่อมั่นในหลักการที่จะดำเนินการกิจการต่างๆ ของพรรคให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น กรณีที่ปรากฎเป็นข่าวว่าเราจะไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย(พท.) หรือพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตนขอถือโอกาสนี้แถลงอย่างเป็นทางการว่าเราไม่ร่วมด้วยพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล เราต้องการสร้าง พปชร.ให้เป็นพรรคที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชน เป็นตัวแทนในการทำหน้าที่ในจุดยืนที่ประชาชนยึดมั่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้พรรคเป็นที่พึ่งของประชาชนในการขจัดความยากจน การที่บางพรรคไปกล่าวอ้างต่างๆ นานา หรือมีกระแสข่าวแพร่ออกมาไปจนกระทั่งเป็นความเข้าใจผิดว่าพรรคเราไปมีดีลร่วมกับเพื่อไทยหรือก้าวไกล ขอแถลงในวันนี้ว่าไม่จริง และเราไม่ประสงค์ด้วย ไม่ประสงค์ที่จะร่วมมือใดๆ เราต้องการเป็นพรรคการเมืองที่มีอิสระ มีเอกภาพในการที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนให้ได้อย่างสมบูรณ์
ไม่พอใจนโยบายบางข้อของ2พรรค
เมื่อถามว่า ที่แถลงวันนี้เพราะเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่จริง ช่วงที่ผ่านมาเราไม่แสดงความเห็น เพราะการเสนอนโยบายยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อพรรคต่างๆ เสนอนโยบายมาแล้ว เราก็มีสิทธิที่จะรู้ว่า พรรคไหนที่ร่วมได้และร่วมไม่ได้และรับนโยบายเหล่านั้นได้หรือไม่ และเมื่อเราดูทั้งสองพรรคนั้น เรารับไม่ได้ ซึ่งก้าวไกลมีปัญหามากที่สุด เพื่อไทยลำดับที่สอง ทั้งสองพรรคอยู่ในเกณฑ์ที่เราไม่สบายใจกับนโยบาย จึงคิดว่าไม่น่าร่วม
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลอยู่ในโพลล์มาตลอด การแถลงเช่นนี้จะถือเป็นการตัดโอกาสในการร่วมรัฐบาลกันหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ย้ำว่าเห็นนโยบายทั้งสองพรรคแล้วไม่สบายใจ ดังนั้น ไม่สบายใจจึงไม่ร่วม ขอให้ประเด็นเหล่านี้อยู่ในชั้นนี้ก่อน เมื่อถามว่า การแถลงเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตรรับทราบหรือไม่ นายไพบูลย์ เลี่ยงตอบว่า ผมรับผิดชอบคำพูดผม
ปชป.ตั้ง5คำถามแจกเงินดิจิทัล1หมื่น
นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตสส.บัญชีรายชื่อและผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลว่า การออกนโยบายของเพื่อไทยแตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ5% ไม่สร้างหนี้เพิ่ม เปลี่ยนเงินที่อยู่ในระบบมาใช้การเจริญเติบโตกระจายเศรษฐกิจฐานรากมั่นคง ตนได้รับคำถามเยอะมากเกี่ยวกับเรื่องเงินดิจิทัล ซึ่งตนมีข้อสังสัยและคำถาม 5ข้อ คือ 1.มีความเชื่อว่าพรรคการเมืองต้องออกแบบนโยบายรับผิดชอบตอบโจทย์ชัดๆ ไม่ใช่วันหนึ่งพูดอย่างอีกวันพูดอย่าง ตอนนี้ยังงงอยู่ว่า จะจัดกี่รอบทุก 6เดือนหรือ1ครั้งและนำเงินมาจากไหนยังไม่ทราบ วันหนึ่งบอกว่า 5แสนล้านบาท อีกวันบอกเอาจากงบประมาณ งบส่วนกลาง30% หรือ 3หมื่นล้านบาท ทุกอย่างไม่ตรงกัน ล่าสุด ทราบว่าได้ไปชี้แจง กกต.แล้ว คำถามจึงอยู่ที่ กกต.ว่า พรรคการเมืองเสนอนโยบายแบบนี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เป็นการโยนหินถามทางไปวันๆ แล้วผลกระทบเป็นอย่างไร
แจกหมดคนรวยคนจน-ไม่กระตุ้นศก.
นายเกียรติ กล่าวต่อว่า 2.พรรคปชป.ไม่เห็นด้วยกับนำเงินภาษีประชาชนไปแจกคนรวย ใน 55ล้านคน อาจจะมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือประมาณ 10-15ล้านคน แต่ที่เหลืออีก 35ล้านคน ไม่ได้ต้องการเงินช่วยเหลือ แต่เอาภาษีไปให้เขาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตนคิดว่าหากเป็นเช่นนี้เราไม่เห็นด้วย เพราะกลายเป็นเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้และไปช่วยคนที่มีรายได้เพียงพออยู่แล้ว จะอ้างกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟังไม่ได้ เพราะมีอีกหลายวิธีที่จะทำ 3.ทำไมถึงเริ่มแจกตั้งแต่อายุ 16ปีขึ้นไป หากบอกว่าจะช่วยนักเรียนกู้เงิน กยศ.เรายินดี เพราะถือว่าตรงเป้า แต่หากจะช่วยนักเรียนที่ไม่เดือดร้อน ตนไม่เห็นด้วย เช่น นักเรียนที่ขับรถไปเรียน หรือพ่อแม่ขับรถมาส่งทุกวัน เพราะภาษีของประชาชนได้มายาก นำไปใช้แบบนั้นไม่ได้ 4.ภาษีมีจำกัด ภาระของประเทศมีเยอะ ทุกบาททุกสตางค์เอาไปใช้ต้องเข้าเป้า ไม่ใช่กระจายเอาไปหมดเป็นเบี้ยหัวแตก เสนอวิธีง่ายๆ คือ คนไหนไม่มีบัญชีธนาคาร หรือมีบัญชีธนาคาร แต่มีเงินไม่ถึง 10,000บาท นำเงินเติมไปให้เขาจึงจะตรงเป้า ถึงมือคนที่จำเป็นต้องช่วยจริงๆและไม่ต้องผ่านกระเป๋าดิจิทัลใคร
สงสัยเอื้อประโยชน์บริษัทเงินดิจิทัล
นายเกียรติ กล่าวอีกว่า 5.ทำไมต้องเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งทราบมาว่า บริษัท แสนสิริ เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (XPG) เมื่อปี2021เป็นที่เรียบร้อย เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัล ทำไมบังเอิญแบบนี้ไม่ทราบ แต่ตนที่อยู่ในการเมืองมานานพอเห็นภาพว่าเราเคยผ่านวิกฤตการเมืองมาเพราะนายกฯไปเจรจาเอฟทีเอทีไรก็ต้องพ่วงธุรกิจดาวเทียมไปด้วยทุกครั้ง ตัวอย่างเห็นได้ชัด การไปเจรจากับจีนมีการขยับวงโคจรเปิดทางให้ดาวเทียมอีกดวงผ่านได้ ไปเจรจากับอินเดียและออสเตรเลีย ก็ชัดเจนมากเป็นข้อตกลงที่ระบุชื่อบริษัทเลย ซึ่งไม่มีในโลกและทำไมต้องบังคับให้คน80% ของประชากรต้องใช้เงินดิจิทัล คนที่จะขายเงินสกุลดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ แต่วันที่ขายทรัพย์สินดิจิทัลเพื่อแจกประชาชน บริษัทนี้รวยทันที
ร้านค้าพร้อมหรือไม่-ค่าเงินผัวผวนสูง
“ยังพบปัญหาร้านค้าว่าพร้อมหรือไม่ ที่จะรับเงินดิจิทัล จะสามารถไปขึ้นเงินกับใครและจะโดนลดค่าเงินหรือไม่ ที่ผ่านมาเงินดิจิทัลผันผวนมาก แบงก์ระดับโลกเกิดผลกระทบ ดังนั้นเราจะไปแนวนี้หรือ ผมคิดว่าผลดีไม่พอ เห็นแต่ประโยชน์บริษัททรัพย์สินดิจิทัล แต่ไม่เห็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ ขอให้ช่วยตอบทีเพราะเป็นเรื่องใหญ่ และทำไมประจวบเหมาะกับการที่มีบริษัทที่ทำทรัพย์สินดิจิทัลในครอบครัว คนที่แถลงนโยบายต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจน เพราะยังมีอีกหลายวิธี หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงเป้า ใช้เงินน้อย ได้ผลมากมีหลายวิธี แต่วิธีนี้ใช้เงินมากได้ผลน้อย” นายเกียรติ กล่าว
‘เจิมศักดิ์’ชำแหละคูปองศูนย์อาหารห้าง
ศาสตราภิชานเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)และคอลัมนิสต์ นสพ.แนวหน้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก“เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” มีเนื้อหาดังนี้“แนวคิดของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกเงินดิจิตอลคนละ 10,000 บาทซึ่งจะต้องใช้ภายในรัศมีพื้นที่หนึ่งและใช้หมดในเวลาหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับการแจกคูปองศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้าซึ่งใช้ได้ภายในพื้นที่และเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นร้านอาหารที่ได้รับคูปองก็นำไปขึ้นเงินบาทกับรัฐบาล ในอดีตตำบลกุดชุม จ.ยโสธร เคยมีแนวคิดเช่นเดียวกันนี้ได้ออก“เบี้ยกุดชุม“ เป็นกระดาษ (ตอนนั้นไม่มีระบบดิจิตอล) เพื่อใช้ในชุมชนกุดชุมไม่ให้เงินรั่วไหลออกไปนอกชุมชนเร็วมากนัก ผมเคยไปทำรายการทีวีที่ตำบลกุดชุม เมื่อประมาณ 20ปีที่แล้ว พร้อมทั้งนำตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทยไปด้วย จำได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อนุญาตให้ทำ เพราะถือเป็นการพิมพ์ธนบัตรเพื่อใช้กันเองและในที่สุดชุมชนกุดชุมก็ต้องยกเลิกไป หากประเทศไทยจะทำโดยรัฐบาลเป็นผู้ทำก็จะต้องเคลียร์เรื่องอำนาจว่าการออกธนบัตรแบบดิจิตอลเป็นอำนาจของกระทรวงคลัง หรืออำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วจะส่งผลกระทบในด้านบวก คือกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นหรือกระตุ้นเศรษฐกิจผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศที่ส่งไปขายทุกท้องถิ่น และด้านลบโดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาล ด้วยหรือไม่ นโยบายแจกและแถม จะถือว่ามีเจตนาซื้อเสียงล่วงหน้า หรือเจตนาจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กกต.และศาลจะต้องพิจารณา นโยบายนี้น่าจะได้ผลคะแนนเสียงกับผู้คนที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์ ที่หวังพึ่งพิงพึ่งพาผู้มีอำนาจ โดยที่ไม่เชื่อว่าการพึ่งพาตนเองจะประสบความสำเร็จ”
‘ศรีสุวรรณ’จี้กกต.สอบ’เศรษฐา-พท.’
ที่สำนักงาน กกต.นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อขอให้ตรวจสอบและวินิจฉัย กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ประกาศชูนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยและผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยไม่บอกความจริงให้หมดเป็นการดำเนินการที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่
เติม1หมื่นเข้าข่ายประชานิยมสุดขั้ว
นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า การหาเสียงด้วยการแจกเงินดิจิทัลดังกล่าวเป็นการใช้ประชานิยมสุดขั้วนั้น อาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้างทั้งทางบวกและทางลบได้ และมีเสียวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่าจะมีผลกระทบต่อวินัยทางการเงินการคลังของรัฐอย่างมาก ซึ่งอาจขัดต่อ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ2561และพรบ.วิธีการงบประมาณ2561หรือไม่ อีกทั้งการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2561 ประกอบ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) 2561 โดยเคร่งครัด โดยจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งเงินจะเหลือถึงประชาชนจริงๆ เพียง 8,500 บาท เมื่อสิ้นปีภาษีต้องแจ้งเป็นรายรับต่อสรรพากร รวมทั้งร้านค้าที่รับเงินดิจิทัลด้วย การบอกความจริงไม่หมดเป็นการหลอกลวงจูงใจให้เข้าใจผิด ตาม ม.73(5) ของ พ.ร.ป.เลือกตั้ง 2561 หรือไม่
นอกจากนั้น การหาเสียงแจกเงินดิจิทัลดังกล่าว กกต.ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนทราบถึงคำอธิบายของพรรคเพื่อไทย ที่รายงานมายัง กกต.ด้วยว่า 1.วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดําเนินการมาจากแหล่งใด 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดําเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดําเนินนโยบาย เพราะหากไม่สามารถชี้แจงได้ก็อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน ม.73(1) และ (5) แห่ง พ.ร.ป.เลือกตั้ง2561 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดต่อไป
พท.ยันเงินดิจิทัล1หมื่นไม่ใช่สกุลใหม่
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท. ชี้แจงประเด็นนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ดังนี้ 1.กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ใช่คริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้น เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้ทุกเมื่อ 2.เหรียญ(คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการถูกทุบ ไม่มีการขาดทุน ไม่มีการสร้างมูลค่า ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาตก-ราคาขึ้น เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ รับประกันโดยรัฐบาล 3.กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีผลกระทบใดๆทั้งสิ้นต่อความมั่นคงของระบบการเงิน ไม่เกี่ยวกับทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่ 4.กระเป๋าเงินดิจิทัล เงิน 10,000 บาท ลงถึงมือประชาชนทุกคน (16 ปี ขึ้นไป) ทุกบาททุกสตางค์ ใช้จ่ายจริง ซื้อของได้จริง ไม่มีการสูญหายของงบประมาณ ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรมตลอดเส้นทาง 5.กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna USDT ตามมีผู้กล่าวอ้าง เหล่านั้นออกโดยเอกชนและมุ่งหมายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป ออกโดยรัฐบาล ไม่ใช่สกุลเงินคู่ขนานกับเงินบาท
ไม่เกี่ยวข้องบริษัทเอกชน-ฟอกเงิน
6.กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนตามที่มีผู้กล่าวอ้าง ไม่เกี่ยวกับการซื้อบริษัท ไม่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ไม่เกี่ยวกับการลงทุน เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่ได้อยู่บนฐานของข้อเท็จจริง ทั้งหมดใช้งบประมาณจากภาครัฐและโอนตรงถือมือประชาชนทุกคน (16 ปีขึ้นไป) ง่ายๆและตรงไปตรงมา 7.กระเป๋าเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน ในตลาด สร้างธุรกรรมระหว่างรายย่อย ตรงข้ามกับวิธีเดิมที่ต้องซื้อในร้านใหญ่หรือกลุ่มทุน 8.กระเป๋าเงินดิจิทัล ใช้ระบบ Blockchain มีความปลอดภัยสูงสุด สูงกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รู้เส้นทางการเงินทุกธุรกรรม รู้ผู้รับ รู้ผู้จ่าย เป็นระบบที่มีความโปร่งสูงสุด ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม 9.กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ปัจจุบันระดับกำลังซื้อของประเทศตกต่ำ เศรษฐกิจตกต่ำกว่าศักยภาพมาก สภาวะดังกล่าวไม่นำสู่เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ได้ รวมทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถจัดสรรเงินจากงบประมาณ ไม่มีการขึ้นอัตราภาษีใดๆ10.พท.สนับสนุน Central Bank Digital Currency (CBDC) และเดินหน้าพัฒนาร่วมกันธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเปิดสำหรับทุกคน เพื่อยกระดับระบบการเงินของประเทศเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
‘จุรินทร์’ออนทัวร์-หาเสียงสมุทรสาคร
ที่ตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำคณะจุรินทร์ ออนทัวร์ เดินทางถึง จ.สมุทรสาคร เข้าสักการะองค์พระหลักเมือง ที่ศาลหลักเมืองจ.สมุทรสาคร พร้อมกับนายชวพล วัฒนพรมงคล ผู้สมัคร สส.เขต1สมุทรสาคร เบอร์5 นายธนวัฒน์ ทองโต ผู้สมัคร ส.ส.เขต2 สมุทรสาคร เบอร์5และนายนิติรัฐ สุนทรวร ผู้สมัคร สส.เขต3 สมุทรสาคร เบอร์5 ทั้งนี้ มีประชาชนในพื้นที่เข้ายื่นหนังสือเพื่อร้องเรียนปัญหาแรงงานต่างด้าวเข้ามาแย่งงานในประเทศ ซึ่ง นายจุรินทร์ ได้รับหนังสือไว้ แล้วออกเดินพบปะประชาชนเพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ผู้สมัครทั้ง3เขตในตลาดมหาชัย
นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์กรณีประชาชนเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกรณีมีชาวต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจ เป็นการแย่งงานคนไทย ว่า เรื่องนี้ปชป.มีนโยบายชัดเจนว่า เราไม่ปฏิเสธแรงงานต่างด้าว เพราะแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจบ้านเรา จะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆและSMEเดินหน้าต่อไป ประเทศไทยก็ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เรื่องนี้จำเป็นต้องมีข้อจำกัดว่า แรงงานต่างด้าวจะเข้ามาทำอะไรผิดกฎหมายไม่ได้ โดยเฉพาะการจะมาทำธุรกิจเองในไทยเหมือนคนไทยนั้นทำไม่ได้
ขอบคุณเกษตรกรหนุนนโยบายปชป.
เมื่อถามถึงผลโพลที่ระบุว่าผลงานที่โดดเด่นของพรรคปชป.คือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขอบคุณโพล คะแนนปชป.ถือว่าดีขึ้นมากเป็นลำดับและภาพจำสำคัญของประชาธิปัตย์อันหนึ่งคือนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด แต่ช่วง4ปีที่ผ่านมาเราทำมากกว่านั้น นอกจากประกันรายได้แล้ว การแก้ปัญหาผลไม้ ทำให้ผลไม้มีราคาพุ่งสูง โดยเฉพาะทุเรียนและปีนี้ก็จะดีขึ้นอีก เพราะตนได้ติดตามแก้ปัญหาในเชิงรุกและเชิงลึกมาตลอด ซึ่งตลาดใหญ่สินค้าผลไม้คือประเทศจีน ที่ประสบปัญหามาตลอดในเรื่องการขนส่งทางบก จึงแก้ปัญหาด้วยขนส่งทางเรือและทางอากาศแทน
‘สุดารัตน์’ลุยโคราชกระดับ30บาทพลัส
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย(ทสท.)และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยสร้างไทย ยืนยันว่า พรรคทสท.จะเดินหน้ายกระดับนโยบาย30บาทรักษาทุกโรค สู่30บาทพลัส สุขภาพดีถ้วนหน้า มุ่งสู่สังคมWellbeing Society โดย คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ในฐานะอดีต รมว.สาธารณสุข อยู่ 4ปีเต็ม ที่รับผิดชอบทำนโยบาย30บาทรักษาทุกโรค เมื่อ22ปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้เน้นแค่เพียง การรักษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แต่หัวใจสำคัญ คือการสร้างสุขภาพที่ดีให้คนไทยแข็งแรงและลดค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล ตนและทสท.จึงวางเป้าหมายยกระดับ30บาทรักษาทุกโรคให้เป็น30บาทพลัส สุขภาพดีถ้วนหน้า ด้วยเทคโนโลยีAIและการรักษาแบบที่ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ด้วย“Mobile Doctor”หมอประจำตัว 24ชั่วโมง ซึ่งเป็นหมอAI ChatGPT ที่เก่งเทียบเท่าหมอที่เป็นคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี