7 พฤษภาคม ชิมลาง "เลือกตั้งล่วงหน้า" ก่อนเขาโค้งไฟนอลสัปดาห์สุดท้าย โดยตัวเลขผู้มีสิทธิ์ที่ลงทะเบียนไว้ 2.2 ล้านราย และบรรยากาศตลอดทั้งวันก่อนการปิดหีบ เป็นไปอย่างคึกคักต่อเนื่องทุกเขต ทุกพื้นที่ ถือเป็นปรากฎการณ์นัยที่สามารถนำไปเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อหยั่งกระแส "ผลลัพธ์" จากคะแนนอย่างเป็นทางการในนาทีปิดหีบอย่างเป็นทางการ ในวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม
ในขณะที่ ข้อมูลในช่วงโค้งสุดท้าย ผลสำรวจหรือโพลจากหลายสำนัก ทั้งสถาบันศึกษา สำนักโพล หรือกระทั่งโพลสื่อมวลชน ก่อนที่จะยุติหน้าที่ 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง ตามกฎหมายเลือกตั้ง ปรากฎว่า ผลสำรวจหลายสำนักพยากรณ์ และทำนายตามหลัก"สถิติการเก็บข้อมูล" และ"การทำโพล" ตรงกันว่า "พรรคก้าวไกล" คืออันดับ 1 ที่ประชาชนจะเลือกมากที่สุด จากผลสำรวจ ในชุดคำถาม ส.ส.แบ่งเขต - ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนจะเลือกมากที่สุด
การขึ้นหัวตารางชาร์ทของ"ก้าวไกล" เป็นการแซงเบอร์หนึ่งดั้งเดิมคือ"พรรคเพื่อไทย" ให้หล่นลงไปอยู่ลำดับสองของตาราง ทั้งที่คำตอบจากโพลหลายครั้งที่ผ่านมาใน"ชุดคำถามเดิม" แต่ต่างไปตามช่วงเวลาที่ขยับเข้าวันเลือกตั้งใกล้ขึ้น เป็น"เพื่อไทย"เสมอมา ที่ผลสำรวจจัดให้อยู่อันดับหนึ่ง
ทั้งที่ทั้ง"ก้าวไกล" และ"เพื่อไทย" มีฐานเสียงที่จัดอยู่ในหมวดเดียวกัน คือกลุ่มคน"ไม่เอาลุง" ทั้ง"ลุงตู่"และ"ลุงป้อม"
จึงเป็น"คำถาม"ที่น่าสนใจว่าช่วงรอยต่อก่อนจะสิ้นสุดการทำโพลครั้งสุดท้ายใน 7 วันก่อนวันเลือกตั้งล่วงหน้า
มันเกิดอะไรขึ้น?
ตลอดช่วงเวลาของการหาเสียงทุกพรรคการเมืองก็ต่างขับเคี่ยว เคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนองของเกมในกติกา ไม่ว่าการลงพื้นที่ การจัดเวทีปราศัย การเดินสายดีเบต และการแสดงตัวตัวตน หรือประกาศนโยบายในโลกโซเชียล
ในองค์ประกอบทั้งหมด หากโฟกัสไปที่"เพื่อไทย" และ"ก้าวไกล" ทั้งสองพรรค เต้นไปตามท่วงทำนองในทุกรูปแบบของการหาเสียง แต่จุดที่แตกต่างคือที่เป็น"จุดด้อย" แต่กลับขับเน้นให้เป็นจุดเด่นให้อีกฝ่าย
นั่นคือ"ความชัดเจน" ระหว่าง"ก้าวไกล" กับ"เพื่อไทย" พรรคสีส้มมีความชัดเจนและประกาศอย่างเป็นทางการมาตั้งเริ่มแรก ว่า"มีเราไม่มีลุง" ซึ่งย้ำชัดเข้าใจตรงกันเสมอมาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีการจับมือกับ"ลุงป้อม"แห่งพลังประชารัฐ และ"ลุงตู่"แห่งรวมไทยสร้างชาติ
ขณะที่"พรรคสีแดง" แม้จะประกาศผ่านถ้อยคำจากทั้ง"ชลน่าน ศรีแก้ว"ในฐานะหวหน้าพรรค หรือกระทั่ง เศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าฝั่ง"ก้าวไกล" เมื่อถูกถามว่า เป็นมติกรรมการบริหารพรรคหรือไม่?
ประเด็นนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ให้บรรดากองเชียร์ ที่รักพี่เสียดายน้อง เริ่มตัดสินใจว่าจะไป"ส้ม"หรือ"แดง"ง่ายขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งคือในหลายเวทีดีเบต พรรคก้าวไกลที่นำโดยหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" สามารถแสดงศักยภาพทางวาทกรรมได้เหนือชั้น และกล่อมบรรดาแฟนคลับที่เหนียวแน่นให้กระชับความภักดีมากยิ่งขึ้น และไม่ใช่แค่ตัว"พิธา" แต่บรรดาแกนนำคีย์แมนหลายของพรรคสีส้ม ก็ทำหน้าที่ดีเบตได้ในเกรดเอบวกไม่ต่างกัน ล้วนสร้างกระแสไวรัลได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเวทีไหน
แต่กลับเป็น"เพื่อไทย"เอง ที่ใช้โอกาสในเวทีดีเบตสิ้นเปลือง ที่แม้จะมีคนของเพื่อไทยในทุกเวทีดีเบต แต่กลับไม่ปรากฎตัวเป็นๆของ"อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร" และ"เสี่ยนิด เศรษฐา" แม้ในเวทีใดที่ผ่านมา
ยังไม่นับกรณีการประกาศ"นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท" ที่สังคมยังมองว่าคลุมเครือพร่าเลือนถึงการนำไปปฏิบัติจริง ในความเป็นไปได้ ซึ่งจากกระแสถือว่าได้กระถางมากกว่าดอกไม้ รวมไปถึงการปราศรัยของ"เศรษฐา" ที่หน้ามืดฟาดงวงฟาดงาโจมตีหลายพรรคอย่างออกนอกหน้า ลบภาพ"สุภาพบุรุษนักธุรกิจ"ก่อนหน้าที่จะรับเป็นแคนดิเดตนายกฯไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ความเป็นไปออกมาเช่นนี้ จึงส่งผลให้ผลโพลออกมาเช่นนั้น แต่หากในมุมตรงข้ามถ้ามองจากเพื่อไทย
จึงเกิดคำถามถึง"สูตรสมการ" เพื่อไทยXก้าวไกล สองพรรคหัวตารางโพลจับมือตั้งรัฐบาล
มันจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยหากเป็นเช่นนั้น เพราะทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล ต่างก็อยู่ฟากฝั่งเดียวกันคือฝั่งที่เรียกตัวเองว่า"เสรีนิยม" อีกทั้งยังอยู่ในฝั่งอดีตฝ่ายค้านที่ร่วมต่อสู้กับรัฐบาล"ประยุทธ์ จันทร์โอชา" มาด้วยกัน มีฐานเสียงและความนิยมจากแฟนคลับกลุ่มเดียวกัน
แต่จากกระแสฉากหน้าบนดิน ยังไม่ปรากฎว่ามีพรรคใด ทอดสะพานไมตรีถึงการจับขั้วหลังปิดหีบเลือกตั้งด้วยกัน แต่ขณะที่ฉากหลังใต้ดิน กลับเป็นการ"ซุ่มดีล" ของเพื่อไทย ที่หวังใช้บริการ"พลังประชารัฐ"ของ"บิ๊กป้อม" ที่ชูนโยบาย "ข้ามความขัดแย้ง" ต่อติดได้ทุกพรรค ทุกกลุ่ม หรือการส่งสัญญาณจาก"เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าภูมิใจไทย ว่าคนการเมืองเขารู้ดีว่าต้องคุยกับใคร โดยข้ามหัว ไม่ให้ราคา"เสี่ยนิด"เศรษฐา ไปแล้ว
"ก้าวไกล" ไม่เคยอยู่ในสมการใด ไม่ว่าจะเป็นการจับขั้วในสูตรพรรคไหน
นั่นก็เพราะทุกพรรคต่างรู้ดีว่า"ก้าวไกล"ไม่ต่างจาก"ระเบิดเวลา" หากดึงเข้ามาร่วมสังฆกรรมจับขั้วรัฐบาล แม้จากกระแสความนิยมจะฮอตฮิตสักเพียงไหน
ด้วยความที่ทั้ง"ชื่อแบรนด์" และตัว"สมาชิกพรรค" มีความขบถ สุดโต่ง และประกาศตัวอยู่ตรงข้าม และพร้อมรื้อถอนฝ่าย"อนุรักษ์นิยม"มาตลอด
มันจึงมีจุด"อันตราย"มากกว่า"ปลอดภัย" หากจะจับมือกันตั้งรัฐบาล และจูงมือกันบริหารประเทศไปบนหนทางขรุขระ
ในขณะที่ตัว"ก้าวไกล"เอง ก็พอจะประเมินรูปเกมได้ จึงค่อนข้างสงวนท่าทีในช่วงก่อนหน้านี้ว่า พร้อมที่จะทำงานในหน้าที่ฝ่ายค้านมากกว่าจะเป็นรัฐบาล โดยอ้างว่าต้องการสร้างฐานชุดความคิดในอุดมการณ์ของพรรคให้หนาแน่น และสะสมประสบการณ์ให้ช่วงเวลานานกว่านี้ แต่เมื่อกระแสของโพลล่าสุดหนุนนำให้เฉิดฉาย ก็เป็นตัว"พิธา"เอง ที่พูดในหลายเวทีว่า"พร้อมเข้าทำเนียบรัฐบาล"
มันจึงกลายเป็นว่าเสี้ยนหนาม หรือ"คู่แข่ง"ที่แท้จริงของ"เพื่อไทย" ในโค้งสุดท้าย อาจไม่ใช่ พรรคของสองลุง ทั้งพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ อีกต่อไป แต่กลับ"ก้าวไกล" ที่แย่งฐานเสียงและเหยียบขึ้นหัวไป สร้างคะแนนนิยม จน"ป็อบปูล่า"มากกว่า
มันจึงกลายเป็นโจทย์ใหม่อันใหญ่ ที่"เพื่อไทย" จะมองข้ามและขจัด"จุดอันตราย" เพื่อจับขั้วสร้างสูตร "เพื่อไทย X ก้าวไกล" ซึ่งถ้าหากอ้างอิงจากผลสำรวจที่ระบุออกมาว่า ทั้งสองพรรคคะแนนอยู่ในอันดับหนึ่งและสอง ที่ได้พรรคละ 30 % กว่า ก็จะได้ส.ส.เกินกว่า 60 % ของสภา นั่นก็แปลว่า"เพื่อไทย" อาจไม่ถึงเป้าแลนด์สไลด์
แม้อีกทางเลือกคือจับมือกับพรรคอื่นๆในฝั่งรัฐบาลเดิม คือพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ภูมิในไทย และประชาธิปัตย์
"เพื่อไทย"ต้อง"ตอบคำถาม"ประชาชนผู้สนับสนุนอย่างใหญ่โต
แต่หากจับมือกับ"ก้าวไกล" เพื่อไทยต้องตอบตัวเองว่า"กล้าหรือไม่"
สูตร "เพื่อไทย X ก้าวไกล" จะ "เป็นไปได้" หรือแค่เพียง "ฝัน"
คนการเมืองรู้ดี ว่าต้องถามใคร?
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี