ไม่หวั่น‘พิธา’พ้นสภาพสส.
ก้าวไกลยังนิ่ง
อ้างไม่เป็นปัญหาสมาชิกพรรค
พท.ชี้เลือกตั้งซ่อมอีกไกล
เมินตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
ธนกรชี้สังคมจับตานายกฯ
แนะพิธาพูดตรงไปตรงมา
“สว.สมชาย”ยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ-ศาลฎีกาไขปริศนาธรรมการเมือง ปมเรื่องหุ้นไอทีวี หลัง“พิธา”ถูกยื่นร้องให้ กกต.ตรวจสอบ ย้ำต้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยให้เป็นที่สุด“พุทธะอิสระ”เดือด!ฟาด“ด้อมส้ม”พวกใจมด เหน็บจะผูกขาดเฉพาะ 14 ล้านเสียงหรือ รู้จักฟังผู้เห็นต่างบ้าง นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังมีขบวนการออกมาถล่มคนเห็นต่างด้าน “อานนท์” แกนนำม็อบ 3 นิ้ว ผู้ต้องหาคดี 112 ประกาศ“ครั้งนี้กูไม่ยอม” เหิมขู่อย่าฝืนมติปชช. ปลุก 3 นิ้วติ่งส้ม เตรียมรับมือลุกฮือชุมนุมอ้างปกป้องประชาธิปไตย ถึงเวลา เราจะเจอกันแน่นอน ‘ภูมิธรรม’แกนนำพท.ชี้ปท.ไม่ถึงขั้นวิกฤตตั้ง‘รบ.แห่งชาติ’เชื่อตั้งรัฐบาลสำเร็จ
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า#ปริศนาธรรมการเมืองเรื่องหุ้นitv ข้อที่ 3 คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร VS คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ
‘สว.สมชาย’ยกเทียบคำวินิจฉัยศาล
“การถือหุ้นสื่อ itv 42,000หุ้น ของนายพิธา แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จะทำให้ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.จริงๆหรือ? เป็นเรื่องที่มีประเด็นถกเถียงและมุมมองทางกฎหมายแตกต่างกันมาก จึงยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 2คดี เกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อที่เหมือนกันของนายธนาธรและนายธัญญ์วาริน อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ มาเปรียบเทียบ กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่แตกต่างกัน2คดี”
คดีของนายชาญชัย ผู้สมัคร ส.ส.ปชป. ที่ศาลฎีกาเห็นชอบคืนสิทธิสมัครเลือกตั้งให้ผู้ร้อง และคดีนายรวิพล ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไทย ที่ศาลฎีกาเห็นชอบให้ตัดสิทธิลงสมัคร ส.ส. ตามที่ กกต.ตัดสิทธิไว้ หากพิจารณารายละเอียดของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเข้าใจแล้ว จะเห็นแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีทั้งเหมือนหรือแตกต่างกับคำพิพากษาศาลฎีกาในบางประเด็นครับ
รับคำวินิจฉัยศาลผลผูกพันทุกองค์กร
นายสมชาย ยังระบุว่า ส่วนตัวยังยืนยันและเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต)มีหน้าที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุด ด้วยเหตุว่า“คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ” ส่วน“คำพิพากษาของศาลฎีกานั้น มีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก “ จึงมีความจำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นที่สุดครับ เชื่อมั่นและเคารพในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด และ น้อมรับคำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันทุกองค์กรครับ
ยกคำวินิจฉัยศาลรธน.2คดี-ศาลฎีกา2คดี
นอกจากนี้ นายสมชาย ยังได้นำ ข้อมูลประกอบการพิจารณา พร้อมเอกสารแนบแบบตัดย่อมาบางส่วนดังนี้ 1)คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีที่14/2562 เมื่อวันที่20 พ.ย.62 วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย ที่เป็นธุรกิจสื่อมวลชนแม้ไม่ได้ประกอบกิจการอยู่ แต่ยังมิได้จดทะเบียนเลิกกิจการย่อมพร้อมที่จะประกอบกิจการได้ตลอดเวลา จึงเป็นการถือหุ้นสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ผู้สมัครส.ส.ถือหุ้นสื่อมวลชน และวินิจฉัยให้สมาชิกภาพส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา101(6) ประกอบมาตรา98(3)นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่23พค 2562 โดยให้มีผลทันทีในวันอ่านคำวินิจฉัย
2)คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่20/2563 เมื่อวันที่ 28 ตค 63 วินิจฉัยว่า นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้ถือหุ้นบริษัทเฮดอัพ โปรดักชั่นและบริษัทแอมฟายน์โปรดักชั่น เป็นธุรกิจสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ ผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อมวลชนและวินิจฉัยให้สมาชิกภาพส.ส.ของนายธัญญ์วาริน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา101(6)ประกอบมาตรา98(3)นับแต่วันที่ 6 ก.พ.2562ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครส.ส.ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.
3)คำพิพากษาศาลฎีกา 2พ.ค.2566 ทคดีถือหุ้นAISของนาย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จำนวน 200 หุ้น ถือว่าเป็นจำนวนน้อยมากไม่อาจครอบงำสื่อมวลชนได้ จึงมีคำพิพากษาให้กกตประกาศเพิ่มรายชื่อ นายชาญชัยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.จังหวัดนครนายก 4) คำพิพากษาศาลฎีกาคดี 1322/2562 คดีนายรวิพล หินผาย ถือหุ้น หจก.รวิพลเรดิโอ ประกอบกิจการสถานีวิทยุชุมชนไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ตาม เมื่อยังไม่จดทะเบียนเลิกกิจการ ย่อมเป็นผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่ จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา98(3) ที่ห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อมวลชน ดังนั้นการที่กกต.มีคำสั่งไม่ประกาศให้นายรวิพลเป็นผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดอุดรธานี จึงชอบแล้ว
‘พุทธะอิสระ’เหน็บจะผูกขาด14ล้านเสียง
นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ”อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ความคิดเห็นที่มีลักษณะการตำหนิบนข้อความในเฟซบุ๊ก“หลวงปู่พุทธะอิสระ(Buddha Isara)”ว่า คนพวกนี้มันโกหกเสียจนลืมไปว่า เคยได้พูดอะไรไว้ อ้าวไหนว่า ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกลและหัวหน้าพรรครวมทั้งลิ่วล้อของพรรคคุยนักคุยหนาว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมในทุกนโยบายของพรรค แล้วสลิ่มอย่างพวกเราไม่ใช่ประชาชนหรือ? หรือเป็นได้แค่ประชาชนชั้น 2 ?
พุทธะอิสระไม่ใช่ประชาชนหละหรือ การนำนโยบาย ที่ว่าของรัฐบาลก้าวไกลจะนำมาใช้บริหารบ้านเมือง และบริการประชาชนทุกคนในแผ่นดินนี้ ซึ่งต้องได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ประชาชนทุกคนจึงควรที่จะมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นไม่ใช่หรือ ? หรือรัฐบาลของพวกด้อมส้ม จะให้บริการแต่เฉพาะ14ล้านเสียงเท่านั้นหรือ นอกนั้นไม่ยุ่งเกี่ยว จะเอาอย่างนั้นหรือ ?
เดือดฟาด‘ด้อมส้ม’พวกใจมด
พร้อมยืนยันว่า พุทธะอิสระก็แค่ใช้สิทธิ์และหน้าที่ของประชาชนคนหนึ่งที่จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายที่เห็นว่า มันมีผลดี ผลเสีย ทำไมพวกลิ่วล้อส้มเช้ง ถึงได้เดือดร้อนนัก ไหนคุยนักคุยหนาว่าเป็นประชาธิปไตยไง ประชาธิปไตยแบบไหนกันที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จะวิพากษ์วิจารณ์มีส่วนร่วมด้วยไม่ได้
พุทธะอิสระ ไม่ได้คัดค้าน ตะบี้ตะบัน หลายข้อก็เห็นด้วย หลายข้อก็เห็นต่าง และอีกหลายข้อก็ยังมีการเสนอแนะให้ด้วยซ้ำ ใจน่ะกว้างๆ หน่อย ทำเป็นพวกใจมดไปได้ รู้จักฟังผู้เห็นต่างเขาบ้าง นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเลยนะ ยังมีขบวนการเฟสนิวส์ เฟสปลอม ออกมาถล่มคนเห็นต่าง หากอยากให้เกิดความวุ่นวายในขณะที่รัฐบาลส้มเช้งเป็นนายก ก็ได้เลยเดียวจะจัดให้แบบจุกๆ จะได้รู้ว่าตอนตนเองมีอำนาจ แล้วเกิดความวุ่นวายจะทำท่าไหน วิธีใด จะเหมือนกับที่ด่ารัฐบาลคุณประยุทธ์เขาไว้หรือเปล่า และขอบอกว่า หากกล้าจริงก็อย่าทำตัวเป็นอีแอบ หลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าปรากฏตัวจริง แบบนี้คนโบราณเขาเรียกว่า อะไรน้า....ดูเหมือนจะมีคำว่าเมียอยู่หลังนี่แหละ ใครรู้ช่วยเติมให้ที
อานนท์อ้างป้องปชต.ปลุก3นิ้ว-ติ่งส้ม
ทางด้านนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และ แกนนำม็อบ 3 นิ้ว ผู้ต้องหาคดี 112 ได้โพสต์ข้อความต่อเนื่องบนเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า.”ครั้งนี้พวกกูไม่ยอม ! “เลือกตั้ง” ไม่ใช่พิธีกรรม แต่เป็น “มติประชาชน” ถ้าฝืนมติประชาชน ก็เตรียมรับมือการลุกฮือของประชาชนได้เลย เวลาชุมนุมทางการเมืองที่มีแกนนำ รัฐจัดการง่าย เพราะจับแกนนำ ก็จบ แต่การชุมนุมขนาดใหญ่ที่ทุกคนเป็นแกนนำ รัฐจัดการไม่ได้ และทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองในขบวน
“ถ้าการชุมนุมจะเกิด เพื่อปกป้องประชาธิปไตย จะเกิดอย่างหลัง คือ การชุมนุมแบบออแกนิก แบบช่วงตุลา ปี 63 และอย่าลืม การชุมนุมเป็นเสรีภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศ และตามรัฐธรรมนูญไทย เป็นการแสดงออกทางตรงตามระบอบประชาธิปไตย ถึงเวลา เราจะเจอกันแน่นอน !!!”
‘ภูมิธรรม’ชี้ยังไม่วิกฤตตั้ง‘รบ.แห่งชาติ’
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงข้อเสนอของ นายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.ที่อยากให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ว่า ถือเป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเราก็รับฟัง แต่การตั้งรัฐบาลแห่งชาติมักเกิดขึ้นในยามที่ประเทศเกิดวิกฤต เช่น อยู่ในภาวะสงคราม ต้องการความเป็นเอกภาพ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่เข้าขั้นวิกฤต ยังมีช่องทางให้เดินต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญ ขณะนี้อย่าเพิ่งตัดช่องทางต่างๆ เพื่อจะตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
เชื่อมั่นจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จแน่
“ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงเกินกว่า 300 เสียง ซึ่งเราต้องคำนึงถึงเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนด้วย ดังนั้น เราต้องช่วยกันผลักดันเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนให้สำเร็จ หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ จนถึงขั้นไปต่อไม่ได้ ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่ายอมรับได้หรือไม่ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกัน เชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยสามารถจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนได้สำเร็จ”นายภูมิธรรม ย้ำ
‘เสรี’ซัดปลุกมวลชนกดดัน‘กกต.-ศาล-สว.’
ก่อนหน้านี้ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เปิดเผยว่าที่ประชุมกรรมาธิการได้พิจารณาและติดตามสถานการณ์การเมืองเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การเลือกประธานสภาฯ การเลือกนายกฯ รวมทั้งกรณี 8พรรคร่วมมีมติตั้งคณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นประธาน และการตั้งคณะทำงาน 7คณะเพื่อแก้ปัญหาประชาชน การแก้ปัญหาประเทศ และองค์กรต่างๆ ถือเป็นความพยายามสร้างมวลชนกดดันองค์กรต่างๆ ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อยู่ระหว่างการรับรองสส.ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าวินิจฉัยประเด็นคุณสมบัตินักการเมืองวุฒิสภา
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลพยายามสร้างมวลชนเพื่อสู้กับนิติสงครามที่หัวหน้าพรรคเผชิญใช่หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ตนไม่ขอใช้คำรุนแรงแบบนั้น แต่ตอนนี้เห็นว่า เขาพยายามสร้างมวลชนเป็นแรงสนับสนุนและผลักดัน รวมถึงเป็นแรงกดดัน กกต.ที่ต้องรับรอง สส.ตรวจสอบข้อมูล ก่อนจะประกาศรับรองตามกระบวนการเลือกตั้ง เมื่อถามย้ำว่าพรรคก.ก.ใช้มวลชนเพื่อกดดันพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ให้เป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งด้วยหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ตนเชื่อว่ากดดันพรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะพรรคนี้เขามีวิทยายุทธลึกล้ำและวางสเตปทางการเมืองไว้ว่า จะเดินอย่างไรและสร้างการแสดงออกที่สร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจในกลุ่มตั้งรัฐบาล แต่ในอนาคตนั้นตนเชื่อว่า เขาเดาออกว่า จะเกิดอะไรขึ้นและเขารู้อยู่แล้ว
พท.หนุนก.ก.ไม่ใช่หนุนพิธานั่งนายกฯ
เมื่อถาม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศจะร่วมตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล มองว่าคือคำการันตีที่นายพิธา จะได้เป็นนายกฯหรือไม่ ประธานกมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวว่า“การันตีไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน สัญญา คือลมปาก สิ่งที่เพื่อไทยแสดงความเป็นสุภาพบุรุษว่า จะสนับสนุนพรรคที่ได้คะแนนมาก แต่เขาก็รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น สุดท้ายหวยก็ออกที่พรรคเพื่อไทย”เมื่อถามย้ำว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เสนอแคนดิเดตนายกฯจากเพื่อไทย แทนนายพิธา ใช่หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า“เดากันไป”
เมื่อถามว่ามองว่าประเด็นคุณสมบัติ หรือการแก้มาตรา112 ที่จะทำให้ นายพิธา ไม่ได้รับการเสนอชื่อต่อที่ประชุมรัฐสภา นายเสรี กล่าวว่า ประเด็นแก้ไขมาตรา112 ที่พรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยและมีเจตนาที่จะเสนอแก้ไข แม้ไม่ระบุไว้ในMOUพรรคร่วมรัฐบาล แต่มวลชนและเจ้าของพรรคก้าวไกลต้องการ ซึ่งตนไม่เข้าใจทำไม นายพิธา ต้องยืนหยัดที่จะแก้ไข ทั้งที่ไม่ใช่ปัญหาของบ้านเมือง ตนเชื่อว่าประเด็นนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งของบ้านเมืองได้ในอนาคต
‘สว.จเด็จ’ย้ำมีกลุ่มไม่หนุนก.ก.แก้ม.112
นายจเด็จ อินสว่าง สว.กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลที่ล่าสุดมติ 8 พรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนว่า ตนไม่มีข้อกังวลอะไร ตนดีใจที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนยืนยันต่อจุดยืนที่ไม่ลงมติให้พรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะจุดยืนแก้ไขมาตรา112 ซึ่งความคิดของตนนั้นมีสว.ที่คิดเหมือนกันไม่น้อย ส่วนกรณีพรรคร่วมรัฐบาลตั้งคณะทำงานตนไม่ก้าวล่วง เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมของพรรคการเมือง อีกทั้งหน้าที่ สว.มีหน้าที่เพียงเห็นชอบบุคคลที่เสนอชื่อให้เป็นนายกฯ เท่านั้น
ชี้ทางออกแนะตั้ง’รัฐบาลแห่งชาติ’
เมื่อถามว่า ขณะนี้ในกลุ่มสว.พูดถึงแคนดิเดตจากพรรคชนะเลือกตั้งอับดับหนึ่งอาจไม่ได้เป็นนายกฯได้มองตัวเลือกอื่นจากพรรคอันดับสองไว้หรือไม่ นายจเด็จ กล่าวว่า ตนไม่มองพรรคอื่น แต่ตนมีแนวคิดที่อยากเสนอในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ฐานะเป็นรองประธาน กมธ.ว่า สิ่งที่ตอบโจทย์การเมืองได้ตอนนี้ คือ รัฐบาลแห่งชาติ แต่ละพรรคนำข้อดีมาร่วมทำงานเพื่อบ้านเมือง สร้างความแข็งแกร่งของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ โดยโมเดลของตน คือ ให้ทุกพรรคนำส่วนที่ดีมาทำงานร่วมกัน ประสานประโยชน์ พุ่งเป้าที่ความมั่นคงของชาติ
เมื่อถามว่าขั้นตอนจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะตามกติกามีเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทั้ง การโหวตนายกฯ นายจเด็จ กล่าวว่า“สามารถงดเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่มีปัญหาได้ เพื่อเป็นทางออก ผมมองว่า การเมืองไทยไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้เพื่อประโยชน์ชาติ”เมื่อถามว่าที่ผ่านมารัฐบาลแห่งชาติจะถูกพูดถึงเมื่อมีความขัดแย้ง หรือปัญหา แต่ขณะนี้ไม่มีสัญญาณขัดแย้งใดๆ นายจเด็จ กล่าวว่า“ไม่จำเป็นต้องให้เกิดความขัดแย้ง หรือรอให้เกิด การตั้งรัฐบาลแห่งชาติ รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม หากห้ามก็งดใช้ ผมเชื่อว่า มีหนทางทำได้ อยู่ที่จะทำหรือไม่”
ดึง‘รทสช.-พปชร.’ร่วมบริหารปท.
เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลแห่งชาติ คือ การรวมทุกพรรค ทั้งรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ เป็นรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีฝ่ายค้านใช่หรือไม่ นายจเด็จ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ ให้นำส่วนที่ดีมารวมกันเพื่อรักษาประโยชน์ ประสานความคิด ไม่เบียดเบียน จะทำให้ประเทศไทยแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง ส่วนที่พรรคก้าวไกลมีจุดยืนและนโยบายมีลุง ไม่มีเรา จะทำให้โมเดลรัฐบาลแห่งชาติเกิดได้หรือ นายจเด็จ กล่าวว่า “คิดแบบนั้น จะไม่มีคุณ ไม่มีผมและไม่มีเรา ทางที่ดีต้องรวมกันเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทางการเมือง”นายจเด็จและว่ารัฐบาลแห่งชาติเป็นข้อเสนอที่จะเสนอในกมธ.หากสังคมมีมุมมองอย่างไรพร้อมรับฟังและขณะนี้ยังมีเวลาจนกว่าจะตั้งรัฐบาลได้ช่วงเดือนสิงหาคม
“วิษณุ”ไขปมถือหุ้นไอทีวี‘พิธา’ผลกระทบ
ก่อนหน้านี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าอาจมีการเลือกตั้งใหม่ หากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.)ถูกศาลวินิจฉัยเรื่องขาดคุณสมบัติจากกรณีถือครองถือหุ้นไอทีวี ทำให้ขัดกับคุณสมบัติการเป็น สส.จะกระทบกับการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงการเซ็นรับรองผู้สมัคร สส.ของพรรค ก.ก.ที่ผ่านมาหรือไม่ว่า ตนตอบไม่ถูก เรื่องนี้อยู่ที่ผู้ร้องว่าร้องในประเด็นใด ถ้าร้องในประเด็นว่าขาดจากการเป็นส.ส. นายพิธาก็สามารถเป็นนายกฯได้เพราะนายกฯ ไม่ต้องเป็น สส.ก็ได้ หรือ ถ้าร้องว่าขาดจากความเป็นนายกฯก็สามารถเป็น สส.ได้
“แต่ถ้าคนร้อง ร้องทั้ง2เรื่อง ศาลจะวินิจฉัยทั้ง 2เรื่อง หรือ อาจจะกระทบไปอีกประเด็น คือการเซ็นรับรองสมาชิกพรรค ดังนั้น อยู่ที่คำร้องว่าจะร้องอย่างไร จะร้องทั้ง 3ประเด็นเลยหรือไม่ แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้น เอาทีละประเด็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ยังไม่ได้ทําอะไรเลย อย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย อย่างไรก็ตาม การที่ตนพูดแบบนี้ ไม่ใช่มาแนะนำว่า จะต้องร้องอย่างไร เพราะอยู่ที่ผู้ร้องเองว่าร้องประเด็นไหน ศาลก็วินิจฉัยประเด็นนั้น ถ้าร้อง 3ประเด็น ศาลก็วินิจฉัยทั้ง 3ประเด็น”นาบวิษณุ ระบุ
ชี้‘พิธา’เซ็นรับรองต้องลต.ซ่อมทั้งปท.
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการร้องในประเด็นเรื่องเซ็นรับรองสมาชิกพรรคจะต้องเลือกตั้งใหม่ทั้งหมดหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่ทั้งหมด อย่างในอดีตที่ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของ นายทักษิณ ชินวัตร ไปกาลงคะแนนและมีคนไปถ่ายไว้ ซึ่งเกิดเหตุเพียงคูหาเดียว แต่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นโมฆะทั้งประเทศ ดังนั้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน หากมีการเลือกตั้งซ่อมก็ต้องเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ
คุยขรก.ทำได้แต่เงียบๆเนียนๆอย่าอึกทึก
นายวิษณุยังให้สัมภาษณ์กรณี8พรรคร่วมตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านขึ้นมา ว่า ตนไม่มองอย่างไร ไม่ทราบ ได้อ่านจากข่าวเท่านั้น ถือเป็นเป็นการดี เป็นการเตรียมตัว ผู้สื่อข่าวถามว่า มีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อแทรกแซงการทำงานบางส่วนของข้าราชการ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาไมได้บอกว่า เขาจะตั้งขึ้นมาเพื่อการแทรกแซง แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำอะไรหลายอย่าง และการที่เขาจะขอความร่วมมือจาก ข้าราชการประจำไปชี้แจงหรืออะไร ถือเป็นการทำโดยสันถวไมตรีอันดีงาม ก็ทำได้ เพราะในอดีตมีการเคยทำ แต่ช่วยทำให้แนบเนียนหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าราชการประจำเขาจะลำบากใจ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังทำงานอยู่กับรัฐบาลนี้ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ข้าราชการเขายังไม่รู้ว่า ใครจะเป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า ถ้า กกต.รับรองผลการเลือกตั้งได้เร็วขึ้น แล้วการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และโหวตนายกฯ จะทำได้เร็วขึ้นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเร็วอยู่แล้ว เลื่อนเร็วได้ แต่จะเร็วได้สักกี่วันตนไม่ทราบ เพราะไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ นั่นคือ การเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประชุมสภา และตามมาด้วยการเลือกประธานสภาฯและการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาฯ ดังนั้นที่ตนเคยกำหนดไทม์ไลน์ไปนั้น ไม่ได้กำหนดตายตัว เพราะหากตีความไม่ดี จะกลายเป็นว่าตนไปบังคับ กำหนด กะเกณฑ์
‘บิ๊กตู่’ย้ำ’พิธา’เชิญขรก.หารือนอกรอบเอง
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่5/2566 ถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าข้าราชการติดต่อไปเองนั้นว่า“ก็ไม่รู้ ผมถามข้าราชการว่า เขาขอมาหรือไม่ เขาก็บอกว่าไม่มี ผมก็ต้องถามคนของผม ใครจะพูดอะไร ก็ตามอย่าเชื่อทั้งหมด ต้องหาข้อมูลข้อเท็จจริง”เมื่อถามอีกว่าจะกระทบกับสิ่งที่นายกฯได้สั่งข้าราชการว่าให้เตรียมข้อมูลเพื่อส่งมอบงานให้รัฐบาลชุดต่อไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เราต้องสรุปงานทั้งหมด เพื่อส่งมอบให้รัฐบาลชุดต่อไปว่า 4 ปีที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง ปัญหาและอุปสรรคคืออะไร
เมื่อถามว่าจะให้กำลังใจคนที่จัดตั้งรัฐบาลอย่างไร นายกฯกล่าวว่า คาดหวังว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่ดีได้ เพียงแต่มันยังมีอีกหลายขั้นตอน เพราะขณะนี้ยังไม่ได้มีการรับรอง ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ แต่ถ้าเขาผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรอง ถึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก
ค้านแก้ม.112-หวังปท.สงบ-ปลอดภัย
เมื่อถามต่อว่าในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถ้าใครมาแก้มาตรา112 จะขวางใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ถามก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ในหัวใจของทหารตำรวจและข้าราชการทุกคนและประชาชนอีกจำนวนมาก เขาก็ไม่เห็นด้วยตรงนี้ก็แค่นั้น แล้วถามว่า ทำๆไม
เมื่อถามถึงกรณี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯในฐานะฝ่ายกฎหมาย ระบุว่า นายพิธา ถูกดำเนินคดีถือหุ้นสื่ออาจต้องเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องกฎหมาย ให้ไปถาม นายวิษณุ ส่วนหวังอะไรกับรัฐบาลใหม่มากที่สุดที่กำลังจะเข้ามาไม่ว่าใครก็ตาม นายกฯ ตอบว่าอยากให้บ้านเมืองสงบ ปลอดภัย มีการพัฒนาที่ยั่งยืน
‘ชลน่าน’ลั่นจับมือก.ก.ตั้งรบ.ให้ได้
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท.กล่าวหลังตั้งคณะทำงาน 7คณะของพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8พรรค ว่า หลังจากที่พูดคุยกันแล้ว บรรยากาศน่าจะดีขึ้น ในมุมสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า เรามุ่งมั่นทำงานร่วมกัน เสียงตอบรับเป็นไปในทางที่ดี ทั้งนี้ จากที่เรากำหนดแนวทางการทำงาน สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ เราจะใช้วาระงานเป็นตัวกำหนดการทำงานหลังจากที่เราทำเอ็มโอยูร่วมกันแล้ว ซึ่งมีทั้งหมด 23ข้อ ซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นวาระงาน โดยคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.เป็นประธาน จะเริ่มประชุมนัดแรกวันที่ 6มิ.ย.ที่พรรค พท.ส่วนคณะทำงานภารกิจ 7คณะ เราคาดหวังจัดทำเป็นตัวนโยบายของรัฐบาลที่คณะทำงานฯ จะรวบรวมเพื่อเสนอคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมต่อไปและส่งเข้าที่ประชุมหัวหน้าพรรคทั้ง 8พรรคเพื่อเป็นกำหนดเป็นแนวทางในการจัดทำนโยบายร่วมกัน
“เมื่อได้ตัวร่างนโยบายและภารกิจหลักที่เป็นชุดข้อเสนอเชิงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลใหม่ ถ้ามีข้อเสนอเชิงสังคมที่เป็นปัญหาเร่งด่วน เรามุ่งหวังว่าวิสัยทัศน์ที่เราเสนอเปรียบเทียบ จะเป็นเครื่องมือที่เราส่งต่อให้รัฐบาลรักษาการเข้าไปดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ การส่งต่อภารกิจจากรัฐบาลรักษาการก็จะเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งเราตระหนักตลอดว่า เรายังไม่มีหน้าที่และอำนาจในการเป็นรัฐบาล เพราะอยู่ในขั้นตอนเตรียมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเราจะมีอำนาจจริงเราต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ตั้งสภาฯให้ได้ เลือกนายกฯให้ได้และตั้งครม.ให้ได้และสุดท้ายคือการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงจะทำหน้าที่ได้” นพ.ชลน่าน กล่าว
เก้าอี้ประธานสภาไม่ใช่โควต้าพรรค
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า การประชุมวันที่ 6มิ.ย.เป็นการประชุมของคณะกรรมการประสานงานฯ ส่วนวันที่ 7มิ.ย.จะเป็นการประชุมในส่วนของหัวหน้าพรรคทั้ง 8พรรคที่พรรค พท.เช่นเดียวกัน ส่วนจะได้ข้อสรุปเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯเมื่อไรนั้นทางคณะเจรจาเริ่มงานกันตั้งแต่วันที่30พ.ค.โดยได้เริ่มพูดคุยกันไปส่วนหนึ่งแล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับในส่วนของฝ่ายบริหาร เราเห็นว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สังคมคาดหวังว่าจะต้องไม่เกิดข้อขัดแย้งระหว่างพรรค ก.ก.และพท.โดยตำแหน่งดังกล่าวจะไม่ใช่โควตาพรรคใดพรรคหนึ่ง ให้คณะเจรจาพูดคุยเสมือนเป็นพรรคเดียวกัน
นอกจากนี้ยังไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องตำแหน่งและตัวบุคคล ซึ่งน่าจะเป็นเพียงการเสนอความคิดเห็น รวมถึงตำแหน่งในครม.ก็ยังไม่ได้พูดคุยกัน เราจะใช้วาระงานเป็นตัวกำหนด หลังจากคณะทำงานและคณะกรรมการประสานงานฯพูดคุยกันได้ส่วนหนึ่ง ทางที่ประชุมของหัวหน้าพรรคที่กำหนดพูดคุยทุก 2สัปดาห์ จะมาหารือร่วมกันอีกครั้ง หลังจากนั้นจะได้พูดคุยเรื่องการแบ่งงาน รวมถึงตำแหน่งต่างๆ
‘พิธา’รับผิดชอบหรือไม่ต้องดูข้อกม.
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯให้ความเห็นว่าหากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก.ก.ขาดคุณสมบัติการเป็น สส.ในประเด็นขาดคุณสมบัติในประเด็นถือหุ้นไอทีวี และถูกร้องเรื่องการรับรองผู้สมัคร สส.ของพรรค อาจต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่ทั้งประเทศในเขตที่พรรคก้าวไกลชนะ ว่าประเด็นนี้มีการพูดคุยกันอยู่ เพราะคุณสมบัติของหัวหน้าพรรคที่ไปลงนามรับรองผู้สมัครของพรรค มีคุณสมบัติครบหรือไม่ อย่างไร ต้องไปดูประเด็นนั้น ยกตัวอย่างกรณีตนเอง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย จ.นนทบุรี ถูกชี้ว่าคุณสมบัติไม่ครบ เพราะถูกจำกัดสิทธิ์ จากการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หลายฝ่ายมองว่า หัวหน้าพรรคต้องรับผิดชอบร่วมด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วการถูกจำกัดสิทธิ์ ไม่ใช่ลักษณะต้องห้าม ฉะนั้นไม่จำเป็นว่า หัวหน้าพรรคที่เซ็นไปลงสมัครรับเลือกตั้งต้องรับผิดชอบ พรรคจะรับผิดชอบเฉพาะกรณีที่ไปลงนามตัวผู้สมัครที่รู้อยู่ว่า ตัวเองไม่มีคุณสมบัติและมีคุณสมบัติต้องห้าม เมื่อเขามีคุณสมบัติต้องห้าม และยังลงนามให้เขาไปลงรับสมัคร ต้องรับผิดชอบทางอาญา
พร้อมทำงานกับก.ก.ตามที่มีกม.รองรับ
เมื่อถามว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับนายพิธา ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ในส่วนของพรรคเพื่อไทยเอง ยังคงให้โอกาสก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนยืนยันว่าเรามัดกันแน่นและยังคงทำงานร่วมกันเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีอะไรขึ้น ก็ยังคงทำงานกันต่อไป ส่วนรายละเอียด ก็ดูเป็นเรื่องๆไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร มีข้อกฎหมายรองรับอะไร หรือไม่ อย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี