จับขั้วรัฐบาล 315 เสียง ‘เพื่อไทย’กลืนเลือดผสมพันธุ์‘พรรคสองลุง’ เดิมพันโอกาสสุดท้าย‘ทักษิณ’กลับบ้าน
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจมองได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ของข่าวในสถานการณ์ที่สอดรับกับแบบลงตัว เข้าล็อคเป็นจังหวะๆต่อเนื่องมาที่ละซีน ทีละฉาก
เริ่มเปิดกองนับ “แอคชั่น” ตั้งแต่ “เพื่อไทย” รับไม้ต่อ ในฐานะพรรคอันดับสอง กับบทบาท และหน้าที่ในการ “จับขั้ว” จัดตั้งรัฐบาล
ฉากรักเคยหวานชื่น...
กลับหักมุมกระแทกใจกองเชียร์...
เมื่อ “เพื่อไทย” ในบทบาท “ทีมเจรจา” โดยสามคีย์แมน “ชลน่าน - ภูมิธรรม- ประเสริฐ” หันหลังให้ 311 เสียง จาก 8 พรรค ตัดเยื่อใย “เอ็มโอยู” ที่ “พรรคก้าวไกล” เป็นตัวตั้งตัวตี หวังสร้างมาตรฐานใหม่ และเป็น “สายสิญจน์” ผูกมัดความสัมพันธ์ใน “ฝั่งเสรีนิยม” ให้แน่นหนาไปสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี และตั๋วเข้าทำเนียบรัฐบาล
แต่สายสิญจน์ “สิ้นอาคม” ลงเมื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แพ้โหวตนายกฯในรัฐสภา ซึ่งวุฒิสมาชิก หรือ สว. กลายเป็นจำเลยสังคมในความพ่ายแพ้ของ “พิธา” และ “ก้าวไกล” ในเกมนี้
แต่ละย่างก้าวที่ “เคลื่อนไหว” มาถึงจุดนี้ อยู่ใน “สายตา” ของเพื่อไทยมาทุกจังหวะ และเป็นไปตามที่คาดทุกสเต็ป
เมื่อ “โอกาส” มาอยู่ในมือ “คีย์แมนเพื่อไทย” ตัดจบละครมนต์รักข้าวต้มมัด กดรีเซ็ทระบบใหม่ เปิดกองบัญชาการอาคารเอโอไอ ย่านถนนเพชรบุรี ต้อนรับ 5 พรรคการเมือง “ภูมิใจไทย - ชาติพัฒนากล้า-รวมไทยสร้างชาติ -ชาติไทยพัฒนา – พลังประชารัฐ”
ซีน “ดีลช็อคมินท์” แรงสั่นของ “ความหวาน” สะเทือนไปถึงฐานทัพพรรคสีส้ม ที่อาคารอนาคตใหม่ ย่านรามคำแหง เพราะทุกพรรคที่เข้าฉากชื่นมื่นกับเพื่อไทย ล้วนเป็นพรรคที่ก้าวไกลเคยประกาศว่า “ไม่เอา” และผลักให้ไปอยู่ “ฝั่งอนุรักษ์นิยม”
บทสรุปของตอน คือ “ก้าวไกล” ถูกผลักให้ไปอยู่ในแดน “ฝ่ายค้าน” แบบเกินครึ่งตัวไปแล้ว
สามคีย์แมนเพื่อไทย “ชลน่าน - ภูมิธรรม –ประเสริฐ” เดินเกมรุกต่อเนื่องอย่างเลือดเย็นต่อคนเคยรักอย่างก้าวไกล แบก 141เสียง ประกาศจัดตั้งรัฐบาล “ขั้วใหม่” เปิดโต๊ะแถลงอย่างเป็นทางการตามคิวอันดับตัวเลข สส. โดยเริ่มนับสารตั้งต้นที่บวกกับ “ภูมิใจไทย” 71 เสียง เป็น 212 เสียง ตามมาด้วย “ชาติไทยพัฒนา” 10 เสียง และ “ชาติพัฒนากล้า” 2 เสียง
เฟสแรกตุนไว้ในหน้าตักแล้ว 224 เสียง
คิวนี้อาจข้ามลำดับสองพรรคเครือข่าย 2 ลุง คือ “พลังประชารัฐ” 40 เสียง กับ “รวมไทยสร้างชาติ” 36 เสียง
จังหวะนี้ “เพื่อไทย” ต้องทด 76 เสียงของพลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ ไว้ข้างโน้ต แม้จากที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ และประเมินแล้วว่าขั้วรัฐบาล “สูตรเพื่อไทย” น่าจะมี “พรรคสองลุง” อยู่ในสมการ แต่จะให้เดินตามเกมแบบตรงไปตรงมา เหมือนคิวภูมิใจไทย ก็จะเข้าอารมณ์ไม่แคร์สังคมเกินไป
จึงหวังลดแรงเสียดทานจาก “กองเชียร์” ทั้ง “สีส้ม-สีแดง” เพราะคาถาช่วงหาเสียงว่าจะไม่รวมกับพรรค 2 ลุง ยังค้ำคอ ซึ่งหากประเมินจากเหตุการณ์ “ม็อบทะลุงวัง” และ “คนเสื้อแดง” บุกอาคารเอโอไอ ในวันประกาศจับมือกับภูมิใจไทยแล้ว กรณี “พลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” เอฟเฟกต์อาจจะวุ่นวาย และเสียหายในระดับสาหัสกว่านัก
ที่สุดแล้วกลายเป็น “พลังประชารัฐ” เอง ที่ออกตัวทอดสะพานส่งสัญญาณไปหา โดย “ไผ่ ลิกค์” รับหน้าที่ขุนพลพลังประชารัฐ ประกาศพร้อมขน สส.40 เสียง เทโหวตนายกรัฐมนตรีให้เพื่อไทย พร้อมวงเล็บขีดเส้นใต้ด้วยว่า “ไม่ได้” เป็นการต่อรองเพื่อขอเข้าร่วมรัฐบาล
โชว์หล่อกระแทกหน้า “ก้าวไกล” ที่ยังมึนไม่สร่างจากคำขอของ “เพื่อไทย” ที่ให้ช่วยโหวตให้ โดยไม่ต้องเข้าร่วมรัฐบาล
แต่ก็เป็นอะไรที่รู้กัน
เมื่อที่สุดแล้ว “ดีล” การเมืองที่ขับเคลื่อนโดยเพื่อไทย ก็ปิดลง ด้วยจำนวน สส. 315 เสียง ประกอบด้วย 5 พรรคหลัก ภูมิใจไทย 71 ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ชาติพัฒนากล้า 2 เสียง และเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง ส่วนที่เหลือคือ เสรีรวมไทย พลังสังคมใหม่ ท้องที่ไทย ประชาธิปไตยใหม่ พรรคละ 1 เสียง รวมเป็น 238 เสียง และหากนับ 40 เสียงของพลังประชารัฐที่ทดไว้ ก็จะเป็น 278 เสียง เช่นเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีสส.36 เสียง ที่ส่งสัญญาณมาในรูปแบบเดียวกับพลังประชารัฐว่าจะร่วมโหวตให้นายกฯของเพื่อไทย
“ผลลัพธ์” สมการสูตรนี้ ตัวเลข สส.ทั้งหมดจึงอยู่ที่ 315 เสียง ผสมพันธุ์ข้ามขั้วทั้ง “เสรีนิยม-อนุรักษ์นิยม” ท่ามกลางม็อตโต “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”
แม้หากเทียบกับตัวเลขชุดเดิมในขั้ว 8 พรรคที่นำโดย ก้าวไกล คือ 311 เสียง ห่างจากตัวเลขในชุดเพื่อไทย เพียง 4 เสียง แต่ภาพเก้าอี้นายกฯก็ขยับให้เข้ามามากขึ้นกว่าในรอบ “พิธา ตกสวรรค์” เมื่อพรรคสองลุงส่ง “กายหยาบ” เข้ามาอยู่ร่วมในสมการสูตรนี้
59 เสียง สว.ที่ต้องหามาเติมเต็มให้ถึง 376 เสียง กึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นหรือไกลเกินเอื้อม
“กระแส” เพื่อไทย ปิดดีล 315 เสียง “ตีปี๊บ” ขึ้นมาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลังวันที่ 10 สิงหาคม 1 วันที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยประกาศผ่าน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ว่าจะเดินทางกลับประเทศไทย แม้วันที่ 10 สิงหาคม จะผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันที่ “ปิดดีล” 11 สิงหาคม ก็เป็นวันเดียวกับวันคล้ายวันเกิดของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
โลกนี้ไม่มีเรื่อง “บังเอิญ”
ยิ่งในโลกการเมืองยิ่ง “เป็นไปไม่ได้”
นัยว่าของขวัญเบิร์ทเดย์อายุ 78 ปีของ “พี่ใหญ่แห่ง 3 ป.” ซ่อนนัยการเมืองบางอย่างไว้
เมื่อส่ง “กายหยาบ” เข้าไปสมการแล้ว ส่วนที่เหลือ หาก พลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ จะส่ง “กายละเอียด” เข้ามา เพื่อประกอบร่างให้ขั้วรัฐบาลสมบูรณ์และเป็นทางการ
ใน “ดีลซ้อนดีล” กับเงื่อนไข “เก้าอี้รัฐมนตรี”
ใน “สูตรคณิตศาสตร์การเมือง” ตั้งด้วย 315 เสียง หารด้วยจำนวนเก้าอี้รัฐมนตรี 35 เก้าอี้ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.9 เสียง หรืออาจปัดเศษเป็น 9 สส.ต่อรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง
วาระนี้ คือ “คิวปวดหัว” รอบต่อไปของเพื่อไทย
ทุกอย่างต้อง “ลงตัว” และ “เคลียร์” ก่อนถึง “วันโหวตนายกฯ” รอบถัดไป ที่คาดว่าไม่เกินวันที่ 22 สิงหาคม 2566
แม้กระแสเสียงจาก สว.จะพอรับได้ และพร้อมจะยกมือโหวตให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะชื่อ “เศรษฐาทวีสิน หรือ แพทองธาร ชินวัตร” แต่อำนาจเหนืออำนาจ ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคงไว้ซึ่ง “อำนาจ” และในฐานะผู้มีอำนาจตัวจริงของ “เพื่อไทย” พรรคต้นขั้วจัดตั้งรัฐบาล
เดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่ และเป็นครั้งสุดท้ายของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในปรารถนาหนึ่งเดียวที่ยังคงเวียนว่ายในการเมือง และประคอง เข็น ดัน พรรคเพื่อไทยไว้ คือ “กลับบ้าน”
กว่า 17 ปี หลังถูกยึดอำนาจ เมื่อปี 2549 จุดเริ่มต้นที่ “ทักษิณ” ต้องเร่ร่อน เดินทาง เขาไปได้ทุกที่ ทุกประเทศในโลกใบนี้ แต่ที่เดียวที่ไปไม่ได้ คือ “ประเทศไทย” และนั่นคือปรารถนาสูงสุดที่ทำให้ทักษิณต้องสู้
ในสนามเลือกตั้ง ตั้งแต่ “ไทยรักไทย พลังประชาชน” จนมาถึง “เพื่อไทย” ทุกแบรนด์ที่เป็นยี่ห้อทักษิณ “ชนะเลือกตั้ง” ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ปรารถนาในการ “กลับบ้าน” เป็นจริง และการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวัน 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา “ก้าวไกล” สอนให้ “ทักษิณ” รู้จักและสะกดคำว่า “พ่ายแพ้” แย่งชิงฐานเสียงโหวตเตอร์ และฐานเสียงมวลชน
“ทักษิณ” สัมผัสได้เต็มอกถึงความเปลี่ยนแปลงของ “ยุคสมัย”
แต่เมื่อ “โอกาส” การเป็น “ต้นขั้ว” จัดตั้งรัฐบาลในอยู่ในมือ จึงต้องยอมทุกอย่าง ทุกทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และตั๋วเดินทางกลับประเทศไทย เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายของชีวิตในวัย 74 ปี และในวันที่พรรคเพื่อไทยเริ่มเสื่อมถอย ศรัทธา
ผลของการ “กลืนเลือด” และ “หักหลัง” ประชาชน เริ่มสำแดงเอฟเฟกต์ เมื่อ “คนเสื้อแดง” ที่เคยภักดี สร้างปรากฏการณ์ไปเยือนที่ทำการพรรค และระเบิดอารมณ์ด้วยกิจกรรมต่างๆ แต่ “ทักษิณ” ชั่งน้ำหนักแล้ว ว่า ต้องไปต่อ และ...
ไปให้สุดทาง!!!
การที่ “ก้าวไกล” ถูกทิ้ง คือ ชนวนสำคัญที่จะฉายภาพการเมืองในอีกไม่กี่ปี “ก้าวไกล” คือ พรรคที่จะมาแทนที่ “เพื่อไทย” และเปลี่ยนโหวตเตอร์จาก “สีแดง” เป็น “สีส้ม”
อาจไม่ต้องมองไกลไปถึงนั้น เลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดระยอง ในวันที่10 กันยายน นี้ แม้ เพื่อไทย จะไม่ส่งผู้สมัครแข่ง แต่ผล “แพ้ –ชนะ” จะเป็นคำตอบ และบอก “ทักษิณกับเพื่อไทย”
รัฐบาลที่กำลังจัดตั้ง คือ โอกาสสุดท้ายที่ “ทักษิณ” จะได้กลับบ้าน หรือไม่
#ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี