รุมค้านแหลกตัดเบี้ยผู้สูงอายุ
ม็อบบุกคลัง-พม.
งัดแถลงการณ์ยื่น5ข้อเรียกร้อง
จี้หางบเพิ่ม-ตัดรายจ่ายไม่จำเป็น
ก.ก.อัดซ้ำลดทอนศักดิ์ศรีมนุษย์
เสนอใช้‘พรบ.บำนาญถ้วนหน้า’
เครือข่ายปชช. 53 องค์กรรวมตัวหน้าก.คลัง บุกกระทรวงการพัฒนาสังคมฯค้านปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่ ตามระเบียบก.มหาดไทยที่ต้องพิสูจน์ความยากจน ยื่น 5 ข้อเสนอจี้รบ.ยกเลิกระเบียบใหม่ คงสิทธิ์เบี้ยคนชราแบบถ้วนหน้า จี้คลังศึกษาแนวทางหางบประมาณเข้ารัฐ เพื่อนำมาจัดสวัสดิการถ้วนหน้าให้ปชช.ด้าน’ก.ก.’ซัดลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลุยเสนอร่างพรบ.บำนาญก้าวหน้า เป็นรัฐสวัสดิการ
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่หน้ากระทรวงการคลัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม และเครือข่ายสลัมสี่ภาคเดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กรณีการบังคับใช้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับใหม่ ที่กำหนดให้ยกเลิกการให้สิทธิ ‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’ แบบถ้วนหน้า
แกนนำเครือข่ายฯระบุว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฯ พ.ศ.2566 โดยระเบียบฯฉบับนี้กำหนดว่า ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคมเป็นต้นไป ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้าอีกต่อไปแล้ว คือ ต้องได้รับเบี้ยยังชีพฯแบบอนาถาหรือสงเคราะห์ โดยมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะผู้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าใครจะได้หรือไม่ได้
“ถ้าทำอย่างนี้เกิดปัญหาแน่ สร้างความแตกแยกในท้องถิ่น เพราะคนที่มีลูกหลานเป็นผู้นำท้องถิ่น เมื่ออายุ 60 ปีแล้ว คนเหล่านี้จะได้ก่อน เป็นการย้อนกลับไปอดีตใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลรักษาการทำ หมกเม็ดลักไก่ ลักหลับประชาชน เราแก่อยู่แล้ว เราใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังจะมาลักหลับเราอีก อันนี้ คือ ความน่าสมเพชของรัฐบาล ของหน่วยงานรัฐ คนเหล่านี้ก่อนที่จะแก่ กว่าจะรอดปากเหยี่ยวปากกามา กว่าจะผ่าน 60 ปี เขาเคยเป็นผู้ใช้แรงงาน เคยเสียภาษี เคยเป็นกลุ่มคนที่เสียภาษีให้รัฐตลอดทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วรัฐคิดอะไร คิดว่าจะให้แบบอนาถา แบบมีบุญคุณกดทับ ใครที่ต้องได้ หลัง 12 สิงหาคมต้องไปกราบกรานอ้อนวอนว่า ผมอายุ 60 ปีแล้ว ขอให้ได้เบี้ยยังชีพอย่างน้อย 600 บาทอย่างนั้นหรือ คุณกำลังกลับไปทำสิ่งในที่ไม่เท่าเทียมและเหลื่อมล้ำชัดเจนขึ้น” แกนนำฯระบุ และว่า ตามระเบียบฯข้อ 6(4) ที่กำหนดว่า ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพฯต้องไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีวิต หรือเป็นการวัดจากฐานความยากจนนั้น ถามว่าการวัดความยากจนที่ผ่านมา รัฐบาลวัดได้หรือไม่และใครเป็นคนกลั่นกรอง เช่น กรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน พบว่ามีคนจนจริงๆที่ตกหล่นเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ เครือข่ายประชาชนฯ 53 องค์กรและประชาชนรายบุคคล 1,468 คน ยังร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ร่วมเครือข่ายประชาชน “ปกป้องสวัสดิการประชาชน คัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ”เรียกร้องเงื่อนไข 5 ข้อคือ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ รัฐบาลทหารยังคงรักษาการณ์ ออกหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเพิ่มคุณสมบัติการเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพเข้ามาเป็นเงื่อนไขหนึ่งรับสวัสดิการเบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุทั้งที่กว่าทศวรรษ สวัสดิการรายเดือนของผู้สูงวัยถูกปรับให้ก้าวหน้าขึ้น เปลี่ยนจากการสงเคราะห์คนยากไร้มาให้สิทธิอย่างถ้วนทั่วทุกคน ขอเพียงให้มีอายุ 60 ปี และไม่ได้รับสวัสดิการหรือบำนาญอื่นใดจากรัฐในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น กลุ่มเครือข่ายประชาชนฯจึงยื่นข้อเรียกร้องให้ 1.กระทรวงมหาดไทยยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 แล้วกลับไปใช้ระเบียบเดิม ซึ่งคงสิทธิถ้วนหน้า โดยไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน และตัดสิทธิการรับสวัสดิการซ้ำช้อนไว้แล้ว
2.คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติต้องออกมาปกป้องสิทธิของผู้สูงอายุทุกคน ไม่ให้ถูกลิดรอนต่ำลงไปกว่าที่เคยเป็น ด้วยการไม่สนองตอบต่อหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พ.ศ.2566 3.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยกระดับการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญถ้วนหน้า ด้วยการออกเป็นกฎหมายรองรับ ไม่ใช่ใช้หลักนโยบายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามมติคณะรัฐมนตรี
แถลงการณ์ระบุอีกว่า 4.กระทรวงการคลังทำหน้าที่ของตัวเองในการศึกษาตัดงบรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และหาแหล่งรายได้ใหม่เข้ารัฐ เพื่อเพิ่มรายได้มาเติมเต็มการจัดสวัสดิการให้ประชาชนแบบถ้วนหน้า เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดเก็บภาษีความมั่งคั่ง ภาษีลาภลอย ภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น 5.รัฐบาลใหม่ต้องผลักตันให้การแก้รัฐธรรมนูญมีเรื่องรัฐสวัสดิการเป็นสิทธิแบบถ้วนหน้าในกฎหมายให้ชัดเจน
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เครือข่ายประชาชน 53 องค์กรรวมตัวคัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ออกระเบียบหลักเกณฑ์ใหม่เพิ่มคุณสมบัติ การเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอยังชีพ เป็นเงื่อนไขรับเบี้ยยังชีพ โดยตัวแทนเครือข่ายฯ ได้ยื่นแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง 5 ข้อดังกล่าว ให้นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม นอกจากนี้ ยังแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ตอนท้าย โดยนอนเลียนแบบการตาย ในกรณีหากมีการตัดเบี้ยคนชรา
โดยนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดพม.กล่าวกับเครือข่ายฯว่า พม.ยืนเคียงข้างผู้สูงอายุ และในฐานะที่พม.เป็นฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.)ขอให้มั่นใจว่าพม.จะปกป้องสิทธิผู้สูงอายุโดยไม่ทำให้ผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุรายเดิมยังได้รับเบี้ยยังชีพเหมือนเดิม ส่วนผู้ที่กำลังจะลงทะเบียนรับสิทธิ์รายใหม่ ณ เวลาใดก็ยังคงได้รับสิทธิ์ตามเกณฑ์ระเบียบมท.ฉบับเดิม เป็นไปตามบทเฉพาะกาล ซึ่งยังต้องรอรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดทิศทางนโยบาย เชื่อมั่นว่าทุกรัฐบาลก็คงต้องให้ความสำคัญกับคนทุกช่วงวัยที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้าน
ด้านนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล(ก.ก.) แถลงคัดค้านการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ว่า ประกาศดังกล่าวเป็นการหมุนกงล้อระบบสวัสดิการย้อนกลับจากที่ไทยควรก้าวไปสู่การมีระบบสวัสดิการถ้วนหน้ากลับไปสู่ระบบสงเคราะห์ ที่ต้องพิสูจน์ความจน เพื่อได้รับการช่วยเหลือ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในยุคที่ให้คุณค่าสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม และปัญหาที่พรรคฯกังวลว่าจะมีเพิ่มตามมาคือ เรื่องกฎเกณฑ์ที่ต้องออกตามมาจากประกาศฉบับนี้ หากใช้ฐานข้อมูลจากบัตรคนจนก็มีการประเมินว่าจะมีผู้สูงอายุที่หลุดออกจากระบบ ไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุประมาณอีก 6 ล้านคน นอกจากนี้ ฐานข้อมูลของบัตรคนจนมีความไม่เที่ยงตรง เพราะมีคนจนประมาณ 46% ที่ไม่ได้บัตร แสดงว่าข้อมูลตกหล่นจากฐานข้อมูลไปมา
“ฉะนั้นพรรคก้าวไกลเห็นว่าเราต้องใหัสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ไม่ต้องมาเสียเวลาพิสูจน์ความจนเพื่อจะรับเงิน 600 บาทหรือแค่ประมาณ 20บาทต่อวัน พรรคฯขอยืนยันในสิ่งที่เราได้หาเสียงไว้คือการสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งพิสูจน์มาแล้วหลายที่ในโลกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ได้มีราคาแพง ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้โดยตรง เพราะเราเชื่อว่าสวัสดิการถ้วนหน้าคือสิ่งที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ”นายเซียกล่าวและว่า พรรคเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า เพื่อเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ระบบสวัสดิการก้าวไปข้างหน้า
นายเซียกล่าวว่า สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.บำนาญฯคือ ยืนยันว่าทุกคนที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไปต้องได้รับบำนาญแห่งชาติโดยไม่ตัดสิทธิ์ประโยชน์ของผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญตามกฎหมายอื่นหรือตามมติคณะรัฐมนตรี ต้องกำหนดอัตราบำนาญแห่งชาติใหม่ทุกสามปีและทุกคนต้องได้รับบำนาญต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) หรือ ตามที่เราเคยหาเสียงไว้คือประมาณ 3,000บาทและถ้าปรับเส้นความยากจนตัวเงินบำนาญต้องปรับขึ้นด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี