ประกาศจุดยืนกลางเวที UN
‘เศรษฐา’โชว์วิชั่น
ชูหลักปรัชญาศก.พอเพียง
มุ่งมั่นพัฒนาแบบยั่งยืน
โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เล็งออกพันธบัตรสีเขียว
วงเงิน1.2หมื่นล.เหรียญ
“เศรษฐา” กล่าวถ้อยแถลงต่อผู้นำโลก ไทยประกาศความมุ่งมั่นการขับเคลื่อน SDGs พร้อมเสริมสร้างกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ และสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศให้เข้มแข็ง“โฆษกรัฐบาล”จวกพวกตามจับผิด เป็นความเท็จทั้งหมด แจงดราม่านายกฯนำบุตรสาวร่วมประชุม UNGA ที่นิวยอร์กออกค่าใช้จ่ายเอง ย้ำภารกิจแน่นเอียด
ดึงนักลงทุนให้ไทยได้ประโยชน์ ชี้เหตุกลับถึงไทยช้าเป็นเพราะเวลาที่ต่างกัน ”ภูมิธรรม”คาด1-2สัปดาห์ ชงชื่อคกก.ศึกษาประชามติให้นายกฯเซ็น จ่อดึงทุกภาคส่วน-ไอลอว์ เข้าร่วม ปัดประวิงเวลา ไม่ชัดแก้รธน.เสร็จยุบสภา แต่อยากให้ทันเลือกตั้งรอบหน้า
เมื่อเวลา 11.30น.วันที่19ก.ย.2566 (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ นครนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา ( เวลาที่สหรัฐอเมริกา ช้ากว่าไทย 11 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พบกับ Mr. Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท Blackrock ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำในการบริหารการเงินและการลงทุนของโลก เพื่อศึกษาแนวทางในการลงทุนในประเทศไทย ทั้งในภาคการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวกับ Clean Energy เพื่อขยายฐานการลงทุน และการผลิตในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจที่จะลงทุนใน Sustainability Linked Bond ที่จะออกโดยรัฐบาลไทย ซึ่งบริษัทฯ มีแนวโน้มในการลุงทุนในบริษัทในประเทศไทยเร็วๆ นี้
บ.การเงินยักษ์สหรัฐลงทุนในไทย
ทั้งนี้ Black rock เป็น บริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ ณ สิ้นไตรมาส2 ปี2023 9.43ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยมีหลายๆ กองทุนใหญ่ๆ ของไทยเช่น ประกันสังคมและกบข.มีการลงทุนผ่านการซื้อหน่วย Exchange Traded Fund (ETF) ของ Black Rock อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Black Rock เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญในการลงทุนด้านความยั่งยืน (Sustainability) โดยมีแผนที่จะมีการลงทุนในหลายๆ ประเทศทั่วโลก และได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนใน Sustainability Linked Bond ที่จะออกโดยรัฐบาลไทยในปีหน้า โอกาสนี้ Mr. Larry Fink กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)รวมถึงประเทศไทยเป็น ภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงและจะมีการลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลของการพบปะกันครั้งนี้จะนำไปสู่การลงทุนของ Black Rock ใน Sustainability Linked Bond และ การลงทุน ด้านการเงินในประเทศไทยที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ต่อไป
‘เศรษฐา’ยันไทยมุ่งพัฒนาแบบยั่งยืน
จากนั้น เวลา 17.00น.ณ Trusteeship Council Chamber สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ. 2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2023 ซึ่งถือเป็นการกล่าวถ้อยแถลงครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีที่องค์การสหประชาชาติ ซึ่งรัฐบาลยังคงเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการให้ความสำคัญที่จะดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ความร่วมมือของทุกประเทศในการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติ ได้เผชิญกับความท้าทายร่วมกันมาถึงในช่วงครึ่งทางของวาระดังกล่าว และในทศวรรษนี้ ซึ่งสหประชาชาติได้กำหนดให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action) นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ และสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดสรรแหล่งทรัพยากรและเงินทุน การลดช่องว่างทางการเงิน รวมถึงสรรหานวัตกรรมเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ทุกประเทศสามารถรับมือกับความท้าทาย และการร่วมกันขับเคลื่อนSDGs ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว
“ไทยสนับสนุนข้อเรียกร้องของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Stimulus) เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จนถึงปีค.ศ.2030 ซึ่ง สำหรับการดำเนินการของไทย รัฐบาลได้ออกมาตรการทางการเงิน 12,500ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการกระตุ้นการกำหนดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจของไทย โดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand: GCNT) ซึ่งมีบริษัทมากกว่า 100 บริษัททั่วประเทศ ตั้งเป้าขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนจำนวน 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030”นานกรัฐมนตรีกล่าว
หนุนสิทธิมนุษยชน-เท่าเทียมทางเพศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยได้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้ 1.ไทยประกาศความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leave no one behind) ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รั้งท้ายก่อน (reaching those furthest behind first) รวมทั้งลดความยากจนในคนทุกช่วงวัยภายในปี ค.ศ.2027 2.ไทยประกาศความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศสำหรับประชากรทุกคนในประเทศ รวมถึงให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยมีมาตรการที่สำคัญ ๆ เช่น การตั้งเป้าหมายที่จะให้ครัวเรือนที่ต้องกลายเป็นครัวเรือนที่ยากจนหลังจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Health impoverishment) ต้องมีจำนวนลดลงไม่เกินร้อยละ 0.25 ภายในปี ค.ศ.2027
3. ไทยประกาศความมุ่งมั่นที่จะผลักดันร่วมมือกับหุ้นส่วนความร่วมมือทุกระดับ ในการดำเนินการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสมัยใหม่ (modern energy services) ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี ค.ศ.2030 “ผมหวังว่า การประกาศความมุ่งมั่นของไทยในเรื่องดังกล่าวจะสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายในการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อประชาชนและโลกที่ดีขึ้นต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว
โฆษกรัฐบาลจวกพวกตามจับผิด
ที่นครนิวยอร์ก นายชัย ชัชวรงค์ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงภารกิจเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ที่เกิดข่าวลือและการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริงว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความตั้งใจของนายกฯในการเดินทางมาปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ครั้งนี้ ถูกด้อยค่าและจับผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดตลอดเวลา ยืนยันว่า ภารกิจนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้มี 3ด้าน คือ 1.การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 UNGA78 ซึ่งมีประเด็นหลักเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ที่นายกฯยังเป็นเจ้าภาพการประชุมในกรอบของอาเซียน โดยนายกฯได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องดังกล่าว และยังจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ขณะที่ช่วงเย็นของวันที่ 19 ก.ย.นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง ซึ่งประธานาธิบดีโจไบเดน ของสหรัฐฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เข้าร่วมประชุม
เตรียมหารือผู้นำอีกหลายประเทศ
นายชัย กล่าวว่า นอกจากนี้การเดินทางครั้งนี้ยังมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้นำโลก เช่น ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเลขาธิการสหประชาชาติ UNSG รวมถึงประธาน FIFA ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะแสวงหาโอกาสพัฒนาทีมฟุตบอลไทยในเวทีโลก รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกในประเทศไทย “สิ่งที่สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรี เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และดึงการลงทุนจากต่างชาติให้ไหลเข้าประเทศไทย เนื่องจากในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา การลงทุนขนาดใหญ่แทบไม่เคยเกิดขึ้น ในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบผู้บริหารขนาดใหญ่ 8-9 บริษัท อาทิ Black Rock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเงินทุน 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 250 ล้านล้านบาท แค่เพียงบริษัทเดียวจะเห็นว่ามีเงินลงทุนมากขนาดไหน” นายชัย กล่าว
รวมทั้งพบผู้บริหารบริษัทชั้นนำโลก
โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าว ว่านอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังจะได้พบกับผู้บริหาร SpaceX ,Tesla , Google,GoldMan Sachs ,CitiBank,J.P.Morganและ estee Lauder ,Microsoft, บริษัทเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วมีเม็ดเงินลงทุนนับพันล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจการเงินการลงทุน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังจะพบหารือกับทีมประเทศไทย ทีมีทูตพาณิชย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือสร้างโอกาสการค้าการลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้ทิศทางว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าทางเศรษฐกิจอย่างไร และยังจะมีโอกาสพบปะกับชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ เพื่อรับฟังว่าคนไทยในสหรัฐฯ มีปัญหาอย่างไร และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือในประเทศไทยทำอะไรบ้าง กิจกรรมทั้งหมดอัดแน่นเพียงเวลา 3 วันกว่าจนถึง 22.00 น.วันที่ 22 ก.ย.และกลับถึงไทยในวันที่ 24 ก.ย.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงอีกครั้งว่า ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯมายังนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ใช้เวลาเดินทางร่วม 20 ชั่วโมง เวลาไทยก็เร็วกว่าเวลาในนิวยอร์ก 11 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อออกเดินทางจากนิวยอร์ก เวลา 22.00 น.วันที่ 22 ก.ย.66 ซึ่งในประเทศไทยเป็น 09.00 น.ของวันที่ 23 ก.ย.66และการเดินทางกลับใช้เวลาประมาณ 20 ชม.ดังนั้น นายกฯจะเดินทางถึงไทย เวลา 08.40น.ของวันที่ 28ก.ย. จึงไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงมีบางคนเอาเวลาไปตามจับผิด ซึ่งเป็นความเท็จทั้งหมด
ใช้งบโปร่งใส-ลูกสาวออกเงินเอง
นายชัย กล่าวถึงการใช้เครื่องเช่าเหมาลำ ว่า รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร ซึ่งรับผิดชอบการบริหารจัดการเที่ยวบิน ได้ชี้แจงไปแล้ว และการที่ไม่นำข้าราชการการเมืองมาด้วยนั้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า มองว่าบุคคลใดมีความสามารถทางเศรษฐกิจ หากเดินทางมาร่วมคณะ จะสามารถช่วยงานได้และเป็นประโยชน์กับประเทศ ให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ซึ่งบางคนเป็นคณะทำงานของนายกรัฐมนตรีมาแต่ต้น บางคนก็เพิ่งเข้ามา
“สำหรับกรณีบุตรสาวของนายกรัฐมนตรี นั้น เดินทางมาด้วยการออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งวิธีการคำนวณนั้นมีอยู่แล้ว หารเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัว คิดเป็นเท่าไหร่ ก็จ่ายเป็นราคาเต็ม และรัฐบาลไทย ก็จ่ายน้อยลง จึงขอยืนยันว่าการเดินทางมาสหรัฐฯ เพื่อร่วมประชุมของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โปรแกรมแน่นเอี้ยด และประเทศไทยได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน”โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พท.คาด1-2สัปดาห์ชงชื่อคกก.ประชามติ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ตนได้พยายามติดต่อคนที่จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ โดยได้คุยถึงหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราอยากแก้ไขให้สำเร็จและเสร็จสิ้นภายใน 4 ปีที่เป็นรัฐบาล จะเร่งให้เร็วที่สุด ในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้อยากให้ปมขัดแย้งเดิมๆ หายไป และไม่อยากให้สร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา โดยจะใช้วิธีให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชามติ คณะกรรมการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ได้หารือถึงแนวทางว่าจะใช้เวลาเท่าไร คาดว่าจะใช้เวลาในเร็ววัน หรือ 3-4เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้นในการทำประชามติ เพราะถ้า ครม.มีมติก็มีกระบวนการต่างๆ รองรับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีการหารือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงเหตุและผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะได้ช่วยกัน ไม่อยากให้ทำประชามติและร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วไม่ผ่านก็จะเป็นปัญหา
ไม่แตะหมวด1-2/ชงเข้าครม.26ก.ย.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำประชามติจะทำทั้งฉบับ หรือแก้ไขเป็นรายมาตรา นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลได้พูดชัดเจนแล้วว่าเราจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ยังคงหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ เราจะไม่แตะเรื่องพระราชอำนาจในมาตราต่างๆ นอกนั้นทำได้หมด ทำอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไปดูแผนยุทธศาสตร์ชาติ หรือหลายๆ อย่างที่เขียนมา ที่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตยหรือการบริหารราชการแผ่นดิน เราชัดเจนว่าต้องเปิดให้มีการพูดคุย หากได้ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ตัวแทนวิชาชีพ สมาคมทนายความ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ ด้าน รวมถึงเชิญตัวแทนสมาคมนักข่าวด้วย 1 คน แต่ต้องหารือนายกสมาคมนักข่าวก่อน อย่างไรก็ตาม บางคนได้ตอบรับมาแล้ว ถ้าทำได้เร็วที่สุด คาดว่าวันอังคารที่ 26ก.ย.จะเอาเข้าที่ประชุม ครม.แต่ถ้าช้าหน่อย อาจจะใช้เวลาอีก 1สัปดาห์ โดยจะต้องรวบรวมรายชื่อและพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เข้าใจถึงความต้องการ
เมื่อถามว่า รายชื่อคณะกรรมการมีประมาณกี่คน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ดูตามวิชาชีพต่างๆ ก็เกือบ 20-30คน ไม่อยากให้เป็นคณะที่ใหญ่เกินไป อยากให้ทำงานคล่องตัว เมื่อถามอีกว่า จะเริ่มนับหนึ่งการทำงานเมื่อไหร่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มดำเนินการแล้ว คาดว่าภายใน 1-2สัปดาห์ น่าจะมีรายชื่อคณะกรรมการเสนอให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามแต่งตั้ง หลังจากนั้นก็จะเริ่มดำเนินการ โดยจะมีตนเป็นประธานคณะกรรมการตามมติ ครม.ที่ผ่านมา ส่วนตัวเลขานุการคณะกรรมการขอดูคนที่เราทาบทามมาทั้งหมดก่อน คิดว่ารอไม่นาน ภายในสัปดาห์หน้าน่าจะมีรายชื่อออกมา
คาดไม่เกิน3-4ปีเสร็จทันลต.ครั้งหน้า
ต่อข้อถามว่า กรอบระยะเวลาการทำงานของคณะกรรมการที่วางไว้นานหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ที่คาดไว้ไม่เกิน 3-4เดือน ไม่ได้คิดที่จะยืดเวลา แต่ขอดูรายละเอียดและพูดคุยกันในยกแรกก่อน คิดว่าถ้าตั้งคณะกรรมการกันเรียบร้อยแล้วก็จะวางไทม์ไลน์ให้เกิดขึ้น คิดว่าจะต้องดำเนินการในทันที และต้องมีขั้นตอนที่จะต้องยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และต้องเข้าสภาเพื่อไปแก้ไขมาตรา256 รวมถึงอะไรอีกหลายๆอย่าง ซึ่งเราจะดำเนินการในทันที แต่ยืนยันว่าหลังจากแก้รัฐธรรมนูญและมีกฎหมายลูกแล้ว คิดว่าภายในไม่เกิน 3 ปี 3 ปีครึ่ง หรือ 4 ปี ถ้ามันจบได้ก็จะจบ และจะให้ทันการเลือกตั้งสมัยหน้าที่จะเกิดขึ้น
ไม่มีถ่วงเวลา-แต่ต้องทำไปตามขั้นตอน
เมื่อถามย้ำว่า ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยุบสภาทันทีเลยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เดี๋ยวดูรายละเอียด แต่คิดว่าเราจะพยายามให้เข้าสู่กระบวนการปกติให้เร็วที่สุด เบื้องต้นขอคุยกับคณะกรรมการก่อน เพราะคณะกรรมการชุดนี้ได้รับมอบหมายให้มาศึกษาและวางรายละเอียดต่างๆ ถ้าตอบไปตอนนี้ก็จะเป็นความเห็นตนคนเดียว อยากให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ฉะนั้น การพูดคุย การวางไทม์ไลน์ที่ชัดเจน และโปร่งใส ซึ่งตนมีความคิดที่จะเชิญกลุ่มไอลอว์และภาคประชาสังคมทุกภาคมาร่วมคณะกรรมการด้วย พยายามจะดึงเข้ามาให้หมด เมื่อถามว่า กระบวนการต่างๆ จะเป็นการประวิงเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ประวิงเวลาหรอก ยืนยันได้เลย การที่เราให้ ครม.ออกมติให้ทำประชามติ ถือเป็นการสะท้อนที่ชัดเจน ถ้าเราอยากประวิงเวลาก็โยนเข้ารัฐสภา ซึ่งจะไปถกกันอีกยาวนานและจะมีปัญหา หรือถ้าให้ประชาชนใช้เสียงเพื่อยื่นเสนอเข้ามาก็จะต้องมาตรวจสอบประวัติกันอีกนาน เราแสดงเจตจำนงชัดกำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาล สิ่งนี้เป็นสิ่งต้องเกิดขึ้นในรัฐบาลเราแน่นอน ให้ได้ผลเพื่อให้มีความประชาธิปไตยมากที่สุด
‘อดิศร’รับเชียร์‘อุ๊งอิ๊ง’เหมาะหัวหน้า
นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พท.ว่า พรรค พท.มีหลายท่านที่จะทำหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ หาก น.ส.แพทองธาร รับหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรค เราจะมีความภูมิใจและสนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จ โดยน.ส.แพทองธาร เป็นคนรุ่นใหม่ เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง
“โดยปกติผมก็เชียร์คุณอุ๊งอิ๊งออกหน้าออกตาอยู่แล้ว ถ้าจะมานั่งหัวหน้าพรรคก็เป็นเรื่องที่พวกเราชาวเพื่อไทยภูมิใจ และมั่นใจว่าจะนำพรรคเพื่อไทยไปสู่ความสำเร็จในทุกด้านได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะไปรับหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าในการจะทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นถือเป็นการเมืองอีกระดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย” นายอดิศร กล่าว
เมื่อถามว่าหากน.ส.แพทองธาร ไม่รับตำแหน่ง เห็นว่าใครควรจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคนายอดิศร กล่าวว่า คนในพรรคมีความเหมาะสมหลายคนไม่ว่าจะเป็นนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. และรักษาการหัวหน้าพรรค หรือนายนพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่หากน.ส.แพทองธารรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และคงไม่มีใครกล้าลงแข่งด้วย เพราะเป็นหัวหน้าพรรคดีกว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
‘ชลน่าน’ แจงตั้งเมียไร้ประโยชน์ทับซ้อน
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้ง พญ.นวลสกุล บำรุงพงษ์ ภรรยาเป็นที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข ว่า จริงๆไม่ต้องชี้แจงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีการชี้แจงค่อนข้างเยอะในเพจของตนและเพจส่วนตัวของ คุณหมอนวลสกุล แต่ในมุมของการบริหาร ในฐานะที่ตนเป็นผู้แต่งตั้งนั้นอาจจะมีคำถามว่า เหมาะสมหรือไม่ มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่เพราะธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมาไม่ว่ายุคไหน สมัยใด ถ้ามีผู้บริหารที่ได้อำนาจรัฐมา แล้วมีการแต่งตั้งญาติ หรือคนใกล้ชิดเข้ามามักจะถูกเพ่งเล็งในมุมว่าจะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนก็คำนึงถึงเรื่องนี้พอสมควรก่อนจะตั้ง พญ.นวลสกุล เป็นที่ปรึกษา แต่ดูเนื้องาน ดูผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ความรู้ความสามารถ เรื่องความเหมาะสมเลยตัดสินใจ ซึ่งตนใช้คำว่าลงทุนในเรื่องนี้ เพราะ 1.ที่ปรึกษาไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการการเมือง ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีเงินเดือน แต่เข้ามาเพราะอาสาเข้ามาทำงานการเมืองแบบอุทิศตน 2.งานที่ต้องการปรึกษานั้นมีความจำเพาะ โดยเฉพาะงานที่ต้องการปรึกษาที่ปรึกษาท่านนี้คือ เรื่องการสื่อสารสุขภาพ และด้านการเมือง ซึ่งพญ.นวลสุกล มีประสบการณ์เคยเป็นผอ.กองสารนิเทศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2534 มีโอกาสทำเรื่องการสื่อสารในสื่อต่างๆ
เชื่อฝีมือในอดีตทำผลงานไว้มากมาย
‘ที่สำคัญช่วงที่ผมทำหน้าที่เป็น สส.เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภา คุณหมอก้อย มีผลงานทำหน้าที่สื่อสารทางการเมืองให้ผม 3ตำแหน่งนี้ ถามว่าผลเป็นอย่างไร อันนี้ตอบยาก แต่ว่าทำให้ผมยืนอยู่ตรงนี้ได้บนกระแสที่ไหลบ่าในโซเชียล การประณามหยามเหยียด การเหยียบย่ำ พูดง่ายๆ รถทัวร์ แต่การสื่อสารทางการเมืองที่หมอก้อยทำ สามารถให้ข้อมูล ชี้แจงตอบโต้ประเด็นที่เป็นการสื่อสารทางการเมืองเป็นอย่างดี นี่คือศักยภาพและความสามารถ ผมเห็นความสำคัญตรงนี้ เลยให้หมอก้อยมาเป็นที่ปรึกษา ไม่ได้มาสั่งการข้าราชการ หน้าที่คือให้คำปรึกษาผ่านว่าการฯแล้วค่อยนำไปให้ฝ่ายข้าราชการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ผู้ที่คอยระแวดระวังให้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องคือ บุคคลที่จะเข้ามาทำงานกับผม ต้องกรองพอสมควร คนจะเข้ามาต้องคลีนพอสมควร คุณหมอก้อยก็เป็นคนกรอง เลยมั่นใจว่า ประเด็นเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตั้งสามีภรรยามากินรวบกระทรวงสาธารณสุข จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน จะมีแต่กำไรของประชาชนในมิติสุขภาพ’นพ.ชลน่าน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี