วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ถึงบทบาทการเป็นผู้สนับสนุน “จักรวาลไทบ้าน” ที่ล่าสุดหนึ่งในภาพยนตร์ของจักรวาลนี้อย่าง “สัปเหร่อ” ทำรายได้ไปแล้วทะลุ 600 ล้านบาท ว่า จุดกำเนิดมาจากการจัดค่ายดูดาว ตั้งแต่ประมาณปี 2547 ชวนเด็กและเยาวชนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ มาร่วมกิจกรรม
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป มีกลุ่มหนึ่งได้กลับมาบอกตนว่า กิจกรรมดูดาวทำให้รู้สึกชื่นชอบการใช้กล้องและการทำภาพยนตร์ และเคยส่งผลงานภาพยนตร์สั้นประกวดได้อันดับ 2 ในระดับประเทศ ในเวลานั้นคนรุ่นใหม่กลุ่มดังกล่าวกำลังหาทุนไปทำภาพยนตร์แนวอินดี้ จินตนาการจะดูสูงๆ หน่อย เนื้อหาประมาณชาย-หญิง ขายกาแฟ เจอกันทุกวันจนชอบพอกัน แต่สุดท้ายคือความฝัน ตนก็เลยลองให้โจทย์ไปว่า ลองทำหนังโปรโมทกิจกรรมดู โดยตนจะให้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากที่มาขอเงิน 15,000 บาท ก็เพิ่มให้เป็น 3 หมื่นบาท
“บอกเขาลองทำหนังจังหวัดให้หน่อย เฮียให้ 3 หมื่น เพราะตอนนั้นจะมีอีเวนต์ ทำให้คนรู้ว่าจะมีอีเวนต์แบบไม่ฮาร์ดเซลล์ ตอนนั้นจะแข่งวงโยธวาทิต อยู่ดีๆ สมมติมาบอกว่า เฮ้ย! แข่งวงโยธวาทิตนะ น่าเบื่อ! ทำเป็นหนังสั้นสักเรื่องหนึ่งแล้วให้คนรู้ พอทำออกมา เออ! เข้าท่า วันเกิดพ่อผม ปีนั้นแซยิดพอดี 60 ปี ก็บอกว่าทำหนังชีวประวัติพ่อให้หน่อย ก็จ้างเขาทำ ออกมา เฮ้ย! ดี หลังจากนั้นเขาก็เลยมาขอเงิน เขาบอกเขามีโปรเจคท์” นายสิริพงษ์ กล่าว
นายสิริพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ในโปรเจคท์ภาพยนตร์ที่จะทำกันนี้มีทีมงาน 4 คนคือ กั๊ต จ็อบ ศักดิ์และโอม ต้องการทำภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า “ไทบ้านเดอะซีรีส์” โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากซีรีส์วัยรุ่นอย่าง “ฮอร์โมน..วัยว้าวุ่น” เกิดเป็นคำถามว่า ในเมื่อมีซีรีส์วัยรุ่นได้แล้วทำไมจะมีซีรีส์อีสานไม่ได้ ซึ่งก็ไม่สามารถหาสปอนเซอร์ได้ เพราะไม่มีนักแสดงคนใดที่เป็นที่รู้จักเลย แต่ถ้าใครได้ชมแล้วก็จะเห็นว่าแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนดูดาราแต่เหมือนดูเพื่อนแสดง
โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของจักรวาลไทบ้าน ลงทุนไป 2 ล้านบาท ซึ่งจริงๆ แล้วตนก็ไม่ได้มีธุรกิจใดๆ เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์ เพียงแต่ชอบในฐานะงานอดิเรก เหตุที่กล้าลงทุนเพราะชอบในงานที่คนกลุ่มนี้นำมาเสนอ ซึ่งตนเป็นคนประเภทท้องถิ่นนิยม ดังนั้นพอบอกว่าอยากทำซีรีส์อีสานตนก็ถูกใจ เพราะตนไม่อยากให้เป็นเพียงเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม แต่อยากให้ไปถึงขั้นอยู่ในกระแสหลัก อีกทั้งเนื้อหายังดูสนุกและน่าสนใจ เพียงแต่เมื่อไม่มีสปอนเซอร์ก็เลยยังไม่ได้ทำ
ตนจึงบอกว่าก็ลองดู แล้วก็ให้โจทย์ไปว่าให้ถ่ายทำที่บ้านเรา คือ จ.ศรีสะเกษ เพราะตนเห็นตัวอย่างจาพภาพยนตร์เรื่อง “กวนมึนโฮ” ภาพยนตร์ไทยเที่ใช้ฉากในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งหลายคนดูแล้วก็อยากไปเที่ยวที่นั่น เลยคิดว่าเผื่อวันหนึ่งจะมีคนมาเที่ยว จ.ศรีสะเกษ ตามรอยไทบ้านบ้าง ซึ่งก็มีจริงๆ หลังภาพยนตร์เรื่องแรกของซีรีส์นี้ออกฉาย อีกทั้งตัวอย่างโปรเจคท์ที่ทีมงานนี้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ยอดคนดูถึง 1 ล้านวิว
ดังนั้นตนจึงอยากลองดู หากขาดทุนก็คิดเสียว่าเป็นค่าประชาสัมพันธ์จังหวัดไป แต่กลายเป็นว่า ภาพยนตร์เรื่องแรกของจักรวาลไทบ้านที่ออกฉายในปี 2560 ทำรายได้ไปถึง 37 ล้านบาท ซึ่งเกินคาดมาก โดยเป็นการเริ่มฉายจากโรงภาพยนตร์ในภาคอีสาน และไม่ใช่กลยุทธ์ตีจากรอบนอก แต่เป็นเพราะไม่มีโรงภาพยนตร์ที่ใดรับฉาย ยกเว้นโรงภาพยนตร์ในภาคอีสาน จากสายหนัง “เอ็มวีพี” และการที่หนังทำรายได้ดีกลายเป็นกระแส ก็เป็นอานิสงส์ถึงโรงภาพยนตร์เล็กๆ ในท้องถิ่นไปด้วย
“หลังจากที่ฉายในอีสานภาคแรก เราเห็นโรงหนังเล็กๆ คือโรงหนังถ้าคนกรุงเทพฯ เห็น จะเห็นเอสเอฟ-เมเจอร์ เขาก็จะรู้เท่านี้ แต่ในต่างจังหวัดมันจะมีโรงหนังท้องถิ่น โรงหนังไฟว์สตาร์ โรงหนังตามชื่อห้าง อย่างถ้าอุบลฯ ก็จะเป็นเนวาดา จะเป็นโรงหนังท้องถิ่น แล้วโรงหนังเล็กๆ กำลังในการสู้ของเขามันสู้โรงหนังใหญ่ไม่ได้หรอก เขาไม่ได้มีงบมากมายที่จะไปแต่งสวยๆ ไปรีโนเวท อย่างไรหนังเขาก็มาทีหลัง แต่พอหนังไทบ้านเข้า โรงหนังเล็กๆ แบบนี้เขาบอกว่าเขามีกำลังใจ บางคนบอกรอบทุ่มหนึ่ง ปกติมีคนดู 5 คน แต่ไทบ้านมาเต็มเลย” นายสิริพงษ์ ระบุ
นายสิริพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนภาพยนตร์สัปเหร่อซึ่งเป็นเรื่องล่าสุด โปรเจคท์เริ่มถ่ายทำไปบ้างแล้วหลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ไทบ้านเดอะซีรีส์ 2.2” แต่ก็ต้องหยุดไปจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แล้วเมื่อกลับมาถ่ายทำ ต้องเต ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ได้เขียนบทภาพยนตร์ขึ้นใหม่ เพราะบทภาพยนตร์เดิมที่ถ่ายทำไว้เมื่อ 4 ปีก่อน มุกต่างๆ อาจดูล้าสมัยไปแล้ว
ส่วนคำถามที่ว่า ในการเป็นนายทุนได้เข้าไปควบคุมดูแล หรือให้อิสระกับทีมสร้างภาพยนตร์มาก-น้อยเพียงใด ตนอาจติดนิสัยมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งเมื่อตนจะทำอะไร พ่อจะถามเสมอว่าทำไปทำไม และตนมีหน้าที่ต้องอธิบายเหตุผลให้ได้ โดยหลังจากภาพยนตร์ภาคแรกได้กำไร ทีมผู้สร้างก็ได้นำเงินมาคืน ซึ่งนอกจากทุนที่ตนให้ไปแล้ว กำไรที่เหลือตนก็ให้ทีมผู้สร้าง บอกว่าเอาไปสร้างเนื้อสร้างตัว ทำบริษัท และหลังจากนั้นก็กลายเป็นความสัมพันธ์เสมือนครอบครัวเดียวกัน
เช่น เมื่อพวกเขาหมุนเงินไม่ทันก็มาหยิบยืมตน แต่เมื่อมีกำไรตนก็บอกว่ามาช่วยสนับสนุนกีฬาจังหวัดบ้างซึ่งพวกเขาก็มาช่วย หรือเมื่อจะทำโปรเจ็คท์ภาพยนตร์กันตนก็ชวนไปหาสปอนเซอร์ เป็นที่ปรึกษาเมื่อทีมผู้สร้างเกิดปัญหาต่างๆ ดังนั้นเวลาที่ทีมงานจะทำอะไรตนปล่อยเต็มที่ เว้นแต่บางครั้งที่ต้องแตะเบรกบ้าง เช่น มีครั้งหนึ่งทีมงานเสนอโปรเจ็คท์ “ไทบ้านคอยน์” ทำคอนเสิร์ตออนไลน์ ร้องเพลงของค่ายได้คอยน์ เก็บคอยน๋ไปถ่ายรูปกับดารา คือคิดไปไกลมาก แต่ตนบอกเลยว่าถ้าทำเจ๊งแน่นอน เพราะจากการที่ตนหาข้อมูลก็นึกไม่ออกว่าทำโมเดลธุรกิจได้อย่างไร
แต่หากจะติดถึงความสำเร็จจากสัปเหร่อ ตนเห็นว่าต้องพูดภึงความสำเร็จของไทบ้านที่ผ่านมา คือจุดเด่นของไทบ้านที่คนจะชอบพูดกันมากก็คือเรามีแฟนเซอร์วิสที่ดีมาก มีฐานแฟนคลับที่ค่อนข้างเหนียวแน่น สมหวังบ้างผิดหวังบ้างแต่เราไม่เคยทิ้งเขา อย่าง 2.2 ที่ทำรายได้เกือบ 100 ล้าน ตนก็ว่าเยอะมากนะสำหรับการลงทุน 15 ล้าน โดยออกมาเป็นภาค 2.1 ได้รายได้ 70 ล้าน ภาค 2.2 ได้รายได้ 100 ล้าน สรุปลงทุน 15 ล้าน ได้มา 170 ล้าน ถือว่ามันสำเร็จมาก
ถึงกระนั้น เมื่อเข้ามาในกรุงเทพฯ ก็ยังถูกมองว่าเป็นภาพยนตร์เฉพาะกลุ่ม แต่ตนก็อยากจะผลักดันให้ไปไกลกว่านั้น จึงมาทำโปรเจคท์ร่วมกับเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลอย่าง BNK48 ซึ่งครั้งนี้แม้ไม่ขาดทุนแต่รายได้ก็ไม่ดี เพราะเพิ่งฉายได้ไม่นานก็เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่การก้าวออกมาจาก “พื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone)” ที่เคยอยู่เดิมแล้วได้ผลตอบรับที่ดี ก็ทำให้เริ่มขยายฐานคนดูได้มากขึ้น และเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่จักรวาลไทบ้านแต่เป็นโปรดัคชั่นเดียวกัน เช่น หมอปลาวาฬ เซียนหรั่ง เป็นการค่อยๆ สะสมฐานแฟนๆ ให้เหนียวแน่น
“พอถึงเวลาที่หนังจะเข้าโรง รู้ไหมยิงแอด (จัดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์) เท่าไร? ต้องเตเขาไปออกรายการ เขาบอกว่าดูตามโรงหนังไม่มีป้าย ไม่มีโปสเตอร์สัปเหร่อเลย เพราะถ้าจะติดทั่วประเทศต้องใช้เงิน 6 ล้านบาท เราไม่มีสตางค์ ณ วันที่ได้ 100 ล้านบาท ค่ายหนังหลายค่ายโทรมาถามว่าโฆษณาไปเท่าไร? ทำไมกระแสแรงจัง? เราก็ตอบแบบเขินๆ ยิงโฆษณาไป 3 หมื่นบาท ในโซเชียล แล้วได้ 100 ล้าน คือแฟนคลับนี่แข็งแรงมาก” นายสิริพงษ์ กลาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี