ศึกษาขึ้นค่าแรง-เงินเดือนขรก.
‘เศรษฐา’เอาจริง
หลังไม่ได้ปรับเพดานมานาน
ขีดเส้นสิ้นเดือนพ.ย.เสร็จ
เป็นห่วงค่าครองชีพพุ่งสูง
สำนักงบฯมั่นใจไร้ปัญหา
“เศรษฐา”ยอมรับ สั่งแรงงาน-หน่วยงานเกี่ยวข้อง ศึกษาความเป็นไปได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ-เงินเดือนข้าราชการ เหตุไม่ได้ปรับนานแล้วขอฟัง“พิพัฒน์”อีกครั้งหลังระบุไม่ได้400บาททุกพื้นที่ ด้าน’วันนอร์’นำชื่อ‘ชัยธวัช’ขึ้นทูลเกล้าฯแต่งตั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯแล้ว‘นิกร’ย้ำ8พ.ย.นัดถก’กกต.’ถามงบทำประชามติ-การตั้งคำถาม-วิธีการออกเสียง ‘เรืองไกร’ร้องสอบ’ไชยา-สุทิน’พิรุธถือหุ้นเกินกม.กำหนด
เมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า เรื่องดังกล่าวมีเอกสารสั่งการใช้ศึกษาเรื่องความเป็นไปได้ในการที่จะดูในเรื่องเงินเดือน ซึ่งกระทรวงแรงงานกำลังพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำอยู่ ซึ่งถ้าจะยกระดับก็ต้องดูทั้งหมดทุกภาคส่วน ได้มอบให้คณะทำงานศึกษาและมารายงานกลับ ภายในสิ้นเดือนนี้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากการศึกษาความเป็นไปได้ในการขึ้นค่าแรง หลังศึกษาแล้วจะมีกรอบหรือไม่จะขึ้นภายในปีงบประมาณไหน นายกฯกล่าวว่า ก็ต้องมานั่งดูอีกที ถึงได้บอกว่าต้องมีการศึกษาเกิดขึ้น ซึ่งสืบเนื่องตามที่เคยพูดไปแล้วว่าเงินเดือนของข้าราชการและค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ขึ้นมานานแล้ว เพราะปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้นเยอะ เราก็เป็นห่วงพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนข้าราชการด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสอดรับในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า หลักการถือว่าสอดคล้อง แต่จำนวนเงิน เปอร์เซ็นที่ขึ้นก็ต้องว่ากันไปแต่ละภาคส่วน เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนของแรงงานจะขยับขึ้นได้เมื่อไหร่ อย่างไร เพราะ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ระบุว่าอาจจะไม่ได้ 400บาทในทุกพื้นที่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เดี๋ยวต้องมาฟัง รมว.แรงงานอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้บอกว่าต้องมีการศึกษาอีกครั้งทั้งหมด
สำนักงบฯยันทำเสร็จทันสิ้นพ.ย.นี้
นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า เบื้องต้นได้หารือกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แล้ว ขณะนี้ ก.พ.อยู่หว่างศึกษาแนวทางว่า จะเพิ่มเงินเดือนได้อย่างไร ต้องปรับบัญชีหรือไม่และจะเพิ่มหน่วยงานใดบ้าง เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร หลังได้ข้อสรุปก็จะมีการหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อดูช่องทางในการเพิ่มเงินเดือนให้ราชการ ทั้งนี้ คาดว่าสัปดาห์นี้จะมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ โดยมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ เป็นประธาน หลังได้ข้อสรุปจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ได้ทันเดือนพ.ย.ตามข้อสั่งการนายกฯได้แน่นอน สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายเงินเดือนเพิ่มให้ข้าราชการนั้น จะต้องดูว่า จะเริ่มจ่ายได้เมื่อใด และใช้เท่าใด หากจะใช้งบรายจ่ายประจำปี67 ก็สามารถทำได้ แม้จะยื่นคำของบฯของหน่วยงานเข้ามาแล้ว แต่ยังมีงบกลาง (เงินเลื่อนขั้นเงินเดือนเงินปรับวุฒิข้าราชการ) ที่นำมาใช้ได้หากหน่วยงานนั้นมีงบไม่เพียงพอ แต่ถ้าเริ่มปีงบฯ 68 ก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา เพราะปฏิทินปีงบฯ68 สำนักงบประมาณจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนม.ค.67 ซึ่งยังมีเวลาในการจัดทำคำขอสำนักงบฯ
นำชื่อ‘ชัยธวัช’ตั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ
ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้นำชื่อนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ ขณะนี้รอเวลาที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ต่อกรณีที่พรรคก้าวไกลเลือกนายชัยธวัช เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่แล้ว ซึ่งถือว่าครบองค์ประกอบตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา106วรรคแรกกำหนดไว้ คือ เป็น สส.ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาฯ ที่มีจำนวน สส.มากที่สุดและมีสมาชิกไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภา หรือรองประธานสภา เป็นผู้นำฝ่ายค้าน
‘นิกร’ย้ำ8พ.ย.ถกกกต.ถามงบประชามติ
นายนิกร จำนง โฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ศึกษา แนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 กล่าวว่า วันที่ 8พ.ย.นายวุฒิสาร ตันไชย ในฐานะประธานอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ ได้เชิญประชุมคณะอนุกรรมการ ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเชิญผู้แทน กกต.หารือเกี่ยวกับแนวทางทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการทำประชามติมีขั้นตอนและเงื่อนไขด้านเวลา ตามกรอบกฎหมายว่าด้วยการทำประชามติเพื่อที่จะลงรายละเอียดว่า มีอย่างไรบ้าง รวมถึงการใช้งบประมาณในการทำประชามติจำนวนเท่าใด การลงคะแนนเสียงประชามติผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแอปพลิเคชั่น โดยกำหนดขอรหัสโอทีพีเพื่อยืนยันตัวตนก่อนลงคะแนนได้หรือไม่ อย่างไรและการตั้งคำถามประชามติมีหลักการอย่างไร กรณีมีคำถามเพิ่มเติมสามารถทำได้เพียงไร หากคำถามประชามติ มีทั้งในลักษณะที่ผลของการลงประชามติผูกพันรัฐบาลและในลักษณะที่เป็นเพียงการขอความคิดเห็นจากประชาชน ไม่มีผลผูกพันกับรัฐบาลในคราวเดียวกัน จะสามารถทำได้หรือไม่ อย่างไรและสามารถทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งนายกฯและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่จะมีการเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศได้หรือไม่ รวมถึงการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อใด
นายนิกร กล่าวต่อว่า จากนั้นวันเดียวกัน ตนในฐานะประธานอนุกรรมการรับฟังความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติฯ ได้จัดให้มีการรับฟังความเห็น โดยเชิญผู้แทนกลุ่มนิสิต นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ 7กลุ่ม ได้แก่ ม.ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.รามคำแหง ม.มหิดล มรภ.สภาเด็กและเยาวชน กลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษา
‘เรืองไกร’ร้องสอบ’ไชยา-สุทิน’พิรุธหุ้น
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบรัฐมนตรี 2คนของพรรคเพื่อไทย (พท.) คือ นายไชยไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลา โหม เนื่องจากตรวจสอบพบความผิดปกติในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยพบว่าอาจมีการครอบครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด เกิน5% ตามที่กฎหมายกำหนด เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามเป็นผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา187หรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดครอบคลุมไปถึงคู่สมรสด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า ในส่วนของ นายไชยา ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) กรณีรับตำแหน่งรมช.เกษตรฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ซึ่งแจ้งข้อมูลที่ค่อนข้างแปลก เพราะในวันที่ 16ก.ย.2566 ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปรากฎชื่อนางอัญชลี พรหมา คู่สมรส เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ“ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีบุญเรืองวัฒนา”ได้รับชำระเงินลงหุ้น เป็นเงิน 400,000 บาท ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อของน.ส.อธิษฐาน พรหมา ซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อชำระเป็นเงินลงหุ้น โดยแจ้งว่าเป็นการเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีบุญเรืองวัฒนา สรุปเป็นการชำระเป็นเงินสดลงหุ้น 400,000 บาท ไว้ โดยไปเอามูลค่าของห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมกำไรสะสม ซึ่งควรจะเป็นของห้างมารวมยื่นเป็นของตัวเอง ทั้งๆ ควรเป็นของห้างฯ ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1-16ก.ย. ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเข้าข่ายความผิดมาตรา 187 ว่า รัฐมนตรีต้องไม่คงไว้ซึ่งหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จำกัด เกิน 5% พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วน และหุ้นของรัฐมนตรี2543 คล้ายกับกรณีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่ไม่ได้ร้องท่าน เพราะเห็นว่า เอกสารที่จดไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ถ่ายโอนออกไปก่อน แต่คนร้องเข้าว่า ท่านโอนในลักษณะนิติกรรมอำพราง สืบพยาน 4 ปาก
กรณี นายไชยา เป็นหลักฐานที่ภรรยาท่านเซ็นเองและแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงมีข้อสังเกตว่าทำไมยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ ทั้งที่ความเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดกรควรมาจากคนที่เป็นหุ้นส่วน ถ้าโอนให้ลูกสาวแล้ว ก็ควรเป็ฯลูกสาวที่เป็นคนเซ็นเอกสารนั้น เรื่องนี้นายไชยาก็ต้องชี้แจงว่า จาก 400,000 บาท เป็น 4 ล้านบาท ซึ่งถ้ายังคงถือหุ้นอยู่ ไม่ได้ฝากโอนหุ้น เป็นเรื่องที่เราต้องแสวงหาข้อเท็จจริง โดยกกต.ไปหาข้ออเท็จจริงว่า นายไชยาได้โอนหุ้นตามเงื่อนไขในพ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนหรือไม่ ซึ่งต้องแจ้งป.ป.ช.ใน 30วัน
หาก2คนผิดจริงส่งศาลรธน.ลงดาบ
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ส่วนการยื่นบัญชีของนายสุทิน ก็พบว่ามีการยื่นบัญชีที่แปลกเช่นกัน โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ซึ่งเป็นวันที่เข้ารับตำแหน่ง ยื่นว่า คู่สมรสมีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดคลังแสงอีสาน 1.5ล้านบาทแล้วพบว่า มีเศษสตางค์ด้วย แต่เมื่อย้อนไปดูเมื่อวันที่ 20มี.ค.2566พบว่า ลงไว้ 1ล้านบาท แล้ว 5แสนบาท เพิ่มมาจากที่ไหน ซึ่งจากการตรวจสอบงบกำไร ขาดทุนปี 2565 พบว่า 1.5ล้านบาท เป็นยอดรวมของหุ้นส่วนกับหนี้สินถือว่าผิด แต่ปปช.ตรวจสอบกลับไปเอะใจอะไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ภรรยา นายสุทิน ถือว่า เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ยังถือหุ้นอยู่ ซึ่งต่างจากของนายไชยาที่เปลี่ยนไปเป็นชื่อของลูกสาว แต่ของ นายสุทิน ยังเป็นชื่อภรรยาอยู่และถือในระยะเวลาเกิน 2เดือน ถือว่าเกิน30วันตามกฎหมาย ดังนั้นเป็นเหตุให้มีการตรวจสอบโดยเร็วว่า ณ วันที่ 3 พ.ย.2566 นายสุทิน ในฐานะรมว.กลาโหม ยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด คลังแสงอีสา 1 ล้านบาท ในนามคู่สมรส เกิน5% หรือไม่ ซึ่งหากพบว่า ยังมีการคงไว้ จะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสุทิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา187 หรือไม่ ขอให้ กกต.นำพรบ.ห้างจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาประกอบการพิจารณาด้วย หาก กกต.เห็นว่า รัฐมนตรีทั้ง 2คน มีเหตุเข้าข่ายจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ขอให้รีบส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปและขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี