เอาผิดจริยธรรมร้ายแรง44สส.ก้าวไกล
ดาหน้าร้องปปช.
จี้ตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต
‘ศิริกัญญา-วิโรจน์’ไม่กังวล
พร้อมสู้คดีปั้นทายาทรุ่นใหม่
พท.ชิ่ง112/ลุยแก้ปากท้อง
“ธีรยุทธ-สนธิญา” เดินหน้ายื่นสอบ 44 สส.ก้าวไกลเอาผิดจริยธรรม หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ล้มล้างการปกครอง “สนธิญา” ลั่นตามรวบรวมหลักฐาน หากไม่หยุดพฤติกรรม เสี่ยงโดนตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต มรดกบาป DNA “อนาคตใหม่” สู่“ก้าวไกล” ด้าน “ศิริกัญญา” พร้อมสู้คดี รับเป็น1 ใน 44 สส. ลงชื่อแก้ 112 เผยเตรียมทีมกฎหมายดำเนินการ จ่อวางทายาทรุ่นใหม่สืบอุดมการณ์“ภูมิธรรม”ชี้แก้ 112 ไม่ใช่อยู่ๆ จะรับปากได้ ลั่น ต้องทำให้สถาบันเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง รับเห็นใจ‘ก้าวไกล’เพราะเคยอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ตอนนี้ควรใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ปชช.ก่อน
เมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) นายธีรยุทธ สุววรรณเกสร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา49 กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง เดินทางมายื่นคำร้องต่อ ปปช.เพื่อขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ฐานฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งศาวินิจฉัยเป็นการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามพระราชบัญญัติประ กอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ปปช.มาตรา87
‘ธีรยุทธ’ชงปปช.เชือด44สส.ก้าวไกล
นายธีรยุทธ อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจากการที่ นายพิธา ผู้ถูกร้องที่หนึ่งและส.ของผู้ถูกร้องที่สอง คือพรรคก้าวไกล 44คน เสนอร่างพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ต่อสภาผู้แทนราษฎรและในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ได้ใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ในการที่จะเสนอแก้ไขมาตรา 112 และศาลวินิจฉัยว่า การแก้ไขดังกล่าวเป็นการลดทอนสถานะและการคุ้มครองสถาบัน มุ่งหมายแยกสถาบันออกจากความเป็นชาติไทย เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ข้อ5 ที่กำหนดว่า ต้องยึดมั่นและดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ และข้อ 6 ที่กำหนดว่าต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน และข้อ 27 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ซึ่งมาตร ฐานจริยธรรมดังกล่าวข้อ3 วรรคสอง กำหนดว่า มาตรฐานทางจริยธรรมนี้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ด้วย
ถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่แล้วแต่ปปช.
เมื่อถามว่า การยื่นต่อ ปปช.เพื่อให้สอบจริยธรรมอย่างเดียว หรือต้องการให้ยุบพรรค นายธีรยุทธ กล่าวว่า เรื่องการยุบพรรคเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.แล้วเมื่อวันที่ 1ก.พ.67 ส่วนต้องการให้โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ไม่ใช่ความต้องการของตน แต่จะไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่ เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ขึ้นอยู่กับวิธีการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ ปปช.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีครบถ้วนและยืนยันไม่ได้ปิดทางแก้ไขกฎหมาย แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามแนวทางนิติบัญญัติ
ถอดนโยบายออกจากเวปทำดีแล้ว
นายธีรยุทธ กล่าวถึงกรณีพรรคก.ก.ได้ถอดนโยบายแก้ไขมาตรา112 ออกจากหน้าเพจของพรรคแล้วว่า เป็นการดำเนินตามคำสั่งของศาล เชื่อว่าเรื่องนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคน่าจะแนะนำไว้แล้ว ตนก็ไม่อยากก้าวล่วง แต่มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องนี้จะลดทอนโทษของการกระทำได้หรือไม่ เป็นหน้าที่ขององค์กรต่างๆที่จะตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา ซึ่งทราบว่านายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก.ก.ได้สั่งการให้เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานต่อสู้คดี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีหนทางอยู่บ้าง
ต้องทำแนวทางวินิจฉัยศาลไปปฎิบัติ
ส่วนความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำกลุ่มก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วย แล้วมองว่า การปลดนโยบายออกจากหน้าเพจเป็นการกระทำที่ป๊อดและสูญเปล่านั้น นายธีรยุทธ มองว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ นายปิยบุตร เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่การสร้างพรรคการเมืองขึ้นจะต้องมีเจตจำนงในการพิทักษ์รักษาดำรงไว้ซึ่งกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร จะต้องรับฟังคำวินิจฉัยนั้นไปปฏิบัติด้วย ดังนั้นการที่พรรคก้าวไกลนำคำวินิจฉัยของศาลไปดำเนินการด้วยความเคารพถือเป็นการเคารพต่อกฎหมาย ส่วนที่แกนนำบางคนแสดงความเห็นว่า การเอานโยบายแก้ไขมาตรา112 ออกจากหน้าเพจ แต่ถูกซ่อนไว้ภายใน และจะสามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการเมื่อไรก็ได้นั้น นายธีรยุทธ กล่าวว่า หากมีการทำเช่นนั้นจริง ก็ยังคงเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า มีการซ่อนเร้น แต่ตนเชื่อว่าทีมกฎหมายจะเสนอแนวทางให้กับพรรคที่มีความชัดเจนมากกว่านี้ ผลการดำเนินการวันนี้ก็เป็นไปตามหน้าที่ในฐานะผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเท่านั้น
‘สนธิญา’ยื่นเช็คบิลตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต
วันเดียวกัน นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎรได้เดินทางมายังสำนักงานปปช.ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบจริยธรรม44สส.ของพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 โดยระบุว่า ได้ติดตามเรื่องเสนอแก้ไขมาตรา 112 ตั้งแต่จดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี2561 รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ มาจนถึง พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นมรดกบาป ที่เป็นการกระทำถ่ายทอดเป็นกรรมพันธุ์ เป็นดีเอ็นเอจากอนาคตใหม่ ถึงก้าวไกล ที่ตนคัดค้านมาตลอด 7ปี ซึ่งเห็นใจ สส.ทั้ง 44คนที่ร่วมลงชื่อ เสนอแก้ไข แต่หวังให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
หากไม่เลิกแก้112เก็บข้อมูลส่งศาลอีก
นายสนธิญา ระบุว่า ผลพวงคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31ม.ค.ส่งผลต่อพรรคก.ก.3ประการ คือ1.กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน อย่างน้อย3มาตรา ทั้งใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง 2.ฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง นำไปสู่การกระทำล้มล้างการปกครอง ที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมืองและ3.การยื่นเรื่องให้ปปช. เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่กระทำผิดซึ่งนำมาประกอบ เพราะเรื่องจริยธรรมแยกออกมาจากกฎหมาย ซึ่งเป็นมาตรฐานตามอุดมการณ์ที่เป็นบทบัญญัติที่ร้ายแรงที่ปปช.จะต้องยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นศาลฎีกา ตนจะเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำ ตั้งแต่วันที่ 31ม.ค.เป็นต้นมา ทั้งของพรรคและคำให้สัมภาษณ์ ของนายปิยบุตร แสงกนกกุลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รวมถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ยังจะเดินหน้าเรื่องมาตรา112 ต่อไปหรือไม่และจะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 เพื่อนำมาประกอบการชี้แจง ต่อ ปปช.เพื่อนำไปสู่การเอาผิดสส.44คน
เซาะกร่อนบ่อนทำลาย-ไม่เคารพศาล
นอกจากนี้ จะติดตามเรื่องการเสนอร่าง พรบ.นิรโทษกรรม หากมีรายละเอียดเสนอ นิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้กระทำผิดตามมาตรา112 ก็จะนับรวมและเป็นการแสดงว่า กำลังแก้ไขมาตรา112 จึงเปรียบเป็นมรดกบาปกลายเป็นดาวลูกไก่ที่อยู่บนท้องฟ้าสูงและถือเป็นการตั้งใจเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไม่ได้เคารพศาลไม่ทำตามที่ศาลสั่ง จึงขอเตือนขอให้พรรคก้าวไกล ที่ยังคงเคลื่อนไหว ทั้งนี้ การยื่นร้องจริยธรรมในวันนี้ คิดว่า มีโอกาส 50:50 แต่ถ้าหลังจากนี้ยังมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งศาล คิดว่ามีโอกาสตัดสิทธิทางการเมือง เพราะตนมีเป้าหมายให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต
‘ก.ก.’กางแผนสู้-ปั้นวางแกนนำรุ่นต่อไป
ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ก.ก.กล่าวถึงกรณีมีคนไปยื่นร้องสอบจริยธรรม 44สส.ที่ลงชื่อสนับสนุนแก้ไขมาตรา112 ที่ท้ายที่สุดแล้วอาจทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ว่า ตนเป็นหนึ่งใน 44คนที่ได้เซ็นเสนอการแก้ไขมาตรา112 พรรคได้เตรียมจะต่อสู้คดีนี้ เพราะเป็น สถานการณ์หนึ่งในฉากทัศน์ที่เกิดขึ้นได้แน่นอน เราก็เลยไม่ได้กังวลใจ ซึ่งในกระบวนการต่อสู้ เรามีข้อที่จะใช้ในการต่อสู้เชิงคดี เพื่อที่จะไม่ทำให้เราต้องเจอในเรื่องของการถูกตัดสิทธิ์หรือ ถูกตัดสินว่ามีการทำผิดจริยธรรม แน่นอนว่าไม่ใช่กระบวนการยกเลิกเพียงแต่เป็นการแก้ไขกฎหมาย เพราะการแก้ไขกฎหมายเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของผู้แทนราษฎร ที่จะต้องดำเนินการในฝ่ายนิติบัญญัติอยู่แล้ว ถ้าจะทำไม่ได้หรืออะไรก็จะต้องมีการโต้แย้ง หรือมีการยับยั้งมาตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจจะมีส่วนที่ทำให้เรายื่นแต่ไม่เข้าสู่ระบบวาระได้ ดังนั้นการที่จะพิสูจน์พฤติการณ์ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับศาลฎีกาก็มีความแตกต่างกันอยู่ เราก็สู้อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า จะมีทางรอดของสส.ทั้ง 44คนอยู่ใช่หรือไม่ น.ส.สิริกัญญา กล่าวว่า เราก็ต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่มีความหวังสำหรับกรณีที่ดีที่สุดเอาไว้ เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วหากผลออกมาเป็นทางลบมีแผนรับมืออย่างไรบ้าง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เราได้มีการวางแผนรองรับไว้แน่นอน และเราก็มีแกนนำรุ่นต่อๆมา และคิดว่าระยะเวลาของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้รวดเร็วและพอมีเวลาที่จะเตรียมแกนนำรุ่นต่อไปขึ้นมาได้แน่นอน“ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด ถ้าเราดู สส.ของพรรคก้าวไกล หรือผู้ที่เข้ามาร่วมงานกับเรา ก็มีหลายคนที่มีศักยภาพสูงมาก ถึงแม้จะไม่มี 44 คน แต่รับรองว่าแนวคิด อุดมการณ์ วิธีคิด กระบวนการทำงานที่เป็นของพรรคก้าวไกล ก็คงจะสามารถดำเนินการต่อสืบทอดต่อไปได้ในเรื่องต่อๆไปแน่นอน เราเชื่อมั่นในบุคลากรของเรา” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
‘วิโรจน์’1ใน44สส.ยันไม่มีความกังวล
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน )ถึงข้อซักถามว่ามีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นนโยบายหาเสียง แก้ไข ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองว่าไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ เพราะตนเองก็เป็น 1 ใน 44 รายชื่อ ที่ลงชื่อเสนอนโยบายนี้ และภายในพรรคก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว โดยทุกคนก็ยังคงทำงานตามปกติ
‘ปิยบุตร’ซัด’ กลัว-ลนลาน’นำออกจากเว็บ
นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่าพึ่งทราบข่างว่าพรรคก้าวไกลนำนโยบายแก้ไข112ออกจากเว็บไซต์ของพรรค ทำไมแหยและหงออย่างนี้ครับ? ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลยและต่อให้เอาออก แล้วยังไง ศาลก็วินิจฉัยไปแล้ว ตกลงพรรคก้าวไกลจะร่วมสร้างบรรยากาศความกลัวให้กับสังคมในเรื่องนี้ด้วยหรือ แน่นอนไม่มีใครมั่นใจ 100 % หรอก เพราะปากกาอยู่ที่ศาล แต่ในฐานะพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนเรื่องนี้ ผมคิดว่าต้องหาจุดสมดุลประคับประคองไปให้ได้ ไม่ควรออกอากาศกลัว ลนลาน ขนาดนี้ มิเช่นนั้น ถ้าจะทำ ก็แถลงสาธารณะไปเลยว่าต้องทำเพราะกลัวโดนยุบพรรค โดนจริยธรรม ขอให้เข้าใจด้วยส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าเขาจะยุบ จะตัด ต่อให้ลบออกหมด เขาก็ยุบได้ครับ และเมื่อไรที่กลับมาทำเรื่องพรรค์นี้อีกเมื่อไร ก็โดนอยู่ดี เว้นแต่จะประกาศให้พวกเขารู้ว่า พร้อมจะเป็นเด็กดีของระบอบแล้ว’
‘พท.’แบไต๋รีบชิ่งไม่เอาแก้ไขม.112
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคจะแก้ไขมาตรา112หรือไม่ว่า เราพูดอยู่เสมอว่า เรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงและการจะกระทำเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ให้เรามารับปากว่าจะไปแก้ไขมาตรา 112 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และวันนี้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลางทางการเมือง ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวและรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจน ฉะนั้นหากเราจะแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนก็มีเรื่องสำคัญจำนวนมาก ทั้งเรื่องชีวิตประจำวัน ความยากลำบาก เศรษฐกิจ ยาเสพติด สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราทำกันได้เต็มที่ ในส่วนของพี่น้องประชาชนและพรรคการเมืองทุกฝ่าย ย้ำว่า เรื่องนโยบายที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชน เราทำได้หมด ทำได้เต็มที่ ส่วนเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลางทางการเมืองเราก็ควรให้สถาบันได้เป็นกลางอย่างแท้จริ เราไม่ควรต้องมาพิจารณาเช่นนี้
เห็นใจก.ก.เคยตกอยู่ชะตาเดียวกัน
“จริงๆผมเห็นใจพรรคก้าวไกล เพราะเคยอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน แต่สิ่งที่สำคัญปัญหาในการทำงานพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ต้องอยู่ที่จุดสมดุล ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แนวทางในการพิจารณาการแก้ไขปัญหาและการดำเนินการต่างๆ จุดสมดุลคือในรัฐประชาธิปไตยทุกที่เขายอมรับความแตกต่าง สงวนความแตกต่างได้ และความแตกต่างที่อยู่ในรูปแบบนี้เป็นความแตกต่างที่มีอิสระของตัวเอง เราต้องเคารพทั้งหมด และต้องหาจุดสมดุลที่เพียงพอ ไม่มีความคิดใครเก่งที่สุด ไม่มีความคิดใครดีที่สุด ไม่มีความคิดใครเป็นประชาธิปไตยกว่ากัน วันนี้แม้เขาจะมี สส.มาคนเดียว สองคน สิบคน เขาล้วนเป็นตัวเป็นตัวแทนของประชาชนที่เลือกเขามาทั้งนั้น” นายภูมิธรรม กล่าว
แม้กระทั่งมายื่นหนังสือเราก็ต้องระวัง
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า การคำนึงถึงหลายเรื่องที่จะไปเกี่ยวพันกับ ชีวิตพี่น้องประชาชน เกี่ยวข้องกับโครงสร้างกับสถาบันทางการเมือง เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ล้วนแต่ต้องคำนึงถึงความเห็นและต้องเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หากเป็นเช่นนี้การทำงานทางการเมือง เราก็จะเข้าใจความต้องการของคนทุกส่วน คนทุกกลุ่มได้ดีกว่านี้ สามารถร่วมมือกันเดินทางไปในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับประเทศได้สูงสุดกว่านี้ เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยหาเสียงเรื่องการแก้ไขมาตรา112 ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราระมัดระวังเรื่องมาตรา112 แม้กระทั่งมีตัวแทนมายื่นหนังสือกับเรา ให้เรารับ เราก็ชี้แจงไปว่าเรื่องนี้เราเห็นเช่นนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และปฏิบัติอย่างเหมาะสม หรือแม้กระทั่งที่มีกลุ่มเยาวชนมายื่นหนังสือกับเรา เราก็ได้แถลงแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าตัดสินใจไปเช่นไรก็มีผลกระทบที่คนส่วนหนึ่งเห็นด้วยและคนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และหากเป็นเช่นนี้ก็จะสร้างความแตกแยกครั้งใหม่ให้กับสังคม เราจึงบอกว่าจะต้องทำให้เกิดฉันทามติ พูดคุยกันอย่างเรียบร้อย หากคิดว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องไปตัดสินใจ
แก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนดีกว่า
นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า วันนี้จึงคิดว่าเราควรใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนก่อน หากเราบอกว่ารักประชาชน แล้วเราเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางก็จะพบว่า ขณะนี้ประชาชนกำลังยากลำบากมาก จะบอกว่าวิกฤตหรือวิกฤตให้ลงไปดูของจริง ไปเดินตลาด หรือไปดูนักธุรกิจรายเล็กรายย่อยทั้งหมด เขาพูดเหมือนกัน แม้กระทั่งสภาอุตสาหกรรมเขาก็ยืนยัน ฉะนั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจสามารถพูดได้หลายอย่าง แต่เราควรต้องเอาวิชาการมาผสมกับความเข้าใจและความเห็นใจพี่น้องประชาชน
‘สุทิน’มั่นใจสถานการณ์ไม่รุนแรง
นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนโยบายแก้ไขมาตรา112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง และมีคำสั่งให้ยกเลิก จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่างๆ จะรุนแรงขึ้นหรือไม่ ว่า คนไทยวันนี้เคารพศาล เมื่อศาลตัดสินอย่างไร ทุกคนเคารพก็น่าจะจบ และมั่นใจว่า สถานการณ์ไม่น่าจะบานปลาย เพราะที่ผ่านมาเรามีบทเรียนมามากแล้ว คนก็เหนื่อย และขณะนี้บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี ฉะนั้น จะต้องทำให้บรรยากาศเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นการพิจารณาตามครรลองของกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ขณะนี้เริ่มมีนักร้องเรียนออกมาเคลื่อนไหวให้ยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้สถานการณ์บานปลายหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า มันก็เป็นสิทธิ์ เพราะคนไทยมีความคิดที่เสรีและเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีคนร้องเรียนมาเรื่อย สุดท้ายเมื่อเข้าสู่กระบวนการและได้ข้อยุติ ก็จะจบมัน คนร้องก็ร้อง แต่สุดท้าย ขอให้รอฟังศาล และเมื่อศาลตัดสินมาแล้ว เคารพคำตัดสินก็จบ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปเยอะไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะคนเหนื่อย ส่วนการประเมินสถานการณ์ข่าวฝ่ายความมั่นคงก็ดำเนินการตามปกติ และยังไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าวิตก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตั้งมั่นตลอดไม่ประมาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี