นายกฯเตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดภาคอีสาน “นครพนม-สกลนคร-อุดรธานี” 17-19 กุมภาพันธ์นี้ ร่วมงานนมัสการพระธาตุพนม –ดูโครงการพระราชดำริ-ติดตามนโยบายบัตร ปชช.ใบเดียวรักษาทุกที่-พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินนายกฯยันเดินหน้าเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงาน ย้ำรบ.พร้อมทำราคาพลังงานให้เป็นราคาที่เหมาะสมดึงดูดมาลงทุนในประเทศ
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่จังหวัดนครพนม สกลนครและอุดรธานี ระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ.นี้ โดยในวันที่ 17 ก.พ.นายกฯ มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.นครพนม เวลา10.15 น.นายกฯ เดินทางไปยังหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม เพื่อเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยว จากนั้นนายกฯ เดินทางไปยังศุลกากรจ.นครพนม สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกและพื้นที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)
ต่อมาช่วงบ่าย นายกฯ เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนครพนม ต.ขามเฒ่า อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม เพื่อประชุมหารือแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาของจังหวัด พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการของดีประจำจังหวัด 12 อำเภอ จากนั้นเวลา 14.30 น.นายกฯ เดินทางไปยังวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เพื่อร่วมงานนมัสการพระธาตุพนมและพบปะประชาชน ต่อมาเวลา 16.00 น. นายกฯ เดินทางไปยังตลาดสดเทศบาลนครสกลนคร ต.ดงมะไฟ อ.เมือง สกลนคร จ.สกลนคร เพื่อพบปะประชาชน ก่อนเดินทางกลับเข้าที่พักเพื่อพักค้างคืนที่ จ.สกลนคร 1 คืน
จากนั้นเวลา 09.00 น.วันที่ 18 ก.พ.นายกฯ เดินทางไปสักการะพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ที่วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร ก่อนที่นายกฯ จะออกเดินทางไปยังสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ต.เชียงเครือ อ. เมืองสกลนคร จ.สกลนคร เพื่อหารือประเด็นความเดือดร้อนเรื่องการทำประมงน้ำจืดและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่หนองหาน ต่อมานายกฯ เดินทางไปยังวัดถ้ำผาแด่น เพื่อพูดคุยประเด็นการพัฒนาจังหวัดสกลนครเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนา และเดินทางต่อไปยังศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่ต้นแบบในการแก้ปัญหาคุณภาพดิน การจัดการน้ำและประชุมหารือแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาของ จ.สกลนคร
ช่วงบ่าย นายกฯเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ผ้าย้อมคราม “วิชชาลัยดอนกอย วิถีแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน”ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ก่อนที่นายกฯจะออกเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยโทง ต.วานรนิวาส อ.วานรนิวาส เพื่อหารือประเด็นการพัฒนาจังหวัดสกลนครเป็นเมืองนวัตกรรมการเกษตรและชมผลิตภัณฑ์สินทางการเกษตร จับคู่ความร่วมมือภาคธุรกิจและเกษตรกร ช่วงเย็นนายกฯเดินทางพบปะประชาชนที่ รพ.บ้านม่วง ต.ม่วง อ.บ้านเมือง จ.สกลนคร เพื่อพบปะประชาชนและติดตามนโยบาย 30บาทรักษาได้ทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ก่อนจะเดินทางด้วยรถยนต์ไปยังจ.อุดรธานีเพื่อพักค้างคืนเป็นวันที่ 2 และปฏิบัติภารกิจในวันที่ 19 ก.พ.
ต่อมาเวลา 09.00 น.วันที่ 19 ก.พ.นายกฯ เดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอหนองวัวซอ ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ เพื่อเป็นประธานมอบสัญญา เช่าที่ราชภัฏพัสดุให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุตามโครงการ “หนองวัวซอโมเดล” และเยี่ยมชมนิทรรศการวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ จากนั้นช่วงบ่ายนายกฯ เดินทางไปยังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี เพื่อประชุมหารือแผนพัฒนาของจังหวัดอุดรธานี ก่อนที่นายกจะเดินทางไปยังโครงการเมืองแร่โพแทช ต.หนองไผ่ อ.เมืองอุดรธานี เพื่อพูดคุยแผนงานมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯในช่วงเย็น
เวลา 09.00 น.วันที่ 14 ก.พ.ที่ห้อง Infinity Ballroom โรงแรมพลูแมน คิง พาวเวอร์ กทม.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเป็นประธานเปิดงานThailand Energy Executive Forum และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน”ซึ่งมีหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนด้านพลังงานและด้านอุตสาหกรรม โดยนายกฯกล่าวช่วงหนึ่งในเรื่องพลังงานว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและในอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเพราะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทุกเรื่องและทุกภาคส่วนของสังคมและการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศ ทั้งการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม การผลิต ภาคธุรกิจ การลงทุน ตลอดจนภาคการเกษตรที่ต้องใช้พลังงานในการดึงน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ ขณะนี้การดำเนินการของรัฐบาลนี้สามารถทำให้ราคาข้าวไปอยู่ที่ประมาณ 10,000–12,000 บาทต่อตันแล้วจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ซึ่งถือว่าดีและจะพยายามทำให้ดีกว่า
โดยเฉพาะการใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตทางการเกษตรได้พิจารณาที่จะให้ใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อให้ได้ราคาค่าไฟที่ถูกลง เพราะพลังงานถือเป็นต้นทุนที่สำคัญต่อปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตร ทำให้เห็นว่าพลังงานถือว่ามีความสำคัญต่อชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนอย่างมาก และรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ รวมทั้งการให้ความสำคัญด้านพลังงานกับภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ การพัฒนาสนามบินเพื่อเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค(Aviation Hub)ด้านโลจิสติกส์ โครงการLandbridgeดูแลและพัฒนาศักยภาพแรงงาน ควบคู่กับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดซึ่งไทยมีศักยภาพอย่างมากเพราะมีเขื่อนจำนวนมากที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานได้เพียงพอสำหรับประเทศ สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกและทำให้ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยได้ ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแล้ว เรื่องของพลังงานจะเป็นKey factor ที่สำคัญในการที่จะขับเคลื่อนประเทศเดินต่อไปข้างหน้า เชื่อว่าทุกคนเข้าใจในการที่จะร่วมกันพัฒนาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกจากการพัฒนาทั้งCleanและGreen Energyแล้ว ยังต้องเร่งเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงาน ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา(OCA)เพื่อนำทรัพยากรออกมาใช้ประโยชน์ให้เร็วที่สุด จะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไปโดยแยกปัญหาระหว่างพื้นที่ทับซ้อนและปัญหาเรื่องแบ่งผลประโยชน์ที่จะดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
การ Ignore กลไกตลาด จะทำไม่ได้ เพราะพลังงานที่ต้องผลิตขึ้นมาก็ต้องมีผู้จ่าย และอาจจะเป็นเงินของพวกเราทุกคนที่จะวนกลับไปจ่ายให้ผู้ผลิต ทำให้ต้องเก็บเงินกลับคืนอยู่ดี แต่ความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป จะประเมินมูลค่าไม่ได้ การที่จะทุบราคาโดยไม่สนใจกลไกตลาด จะกลายเป็นการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราอาจจะได้ค่าไฟถูกอยู่ไม่กี่วัน สุดท้ายประชาชนจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าว ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม และนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านลบต่อการลงทุน การส่งออก การจ้างงาน และเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะอยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมยินดีผลักดันกลไกภาคอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่กับการพัฒนาพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี